อาชีพฟรีแลนซ์หรืออาชีพอิสระ เลือกทำประกันแบบไหนดี ให้คุ้มครองค่ารักษา
การทำงานแบบฟรีแลนซ์ หรืออาชีพอิสระ มอบอิสระในการใช้ชีวิตและสร้างรายได้ตามที่ต้องการ แต่ในขณะเดียวกันก็แลกมาด้วยความเสี่ยงสำคัญที่แตกต่างจากพนักงานประจำ โดยเฉพาะการขาดสวัสดิการและหลักประกันรายได้เมื่อเจ็บป่วย ทำให้ค่ารักษาพยาบาลอาจกลายเป็นภาระทางการเงินได้ในทันที
ดังนั้นการมีแผนประกันสุขภาพที่เหมาะสม จึงไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับฟรีแลนซ์ เพื่อให้คุณสามารถทำงานได้อย่างมั่นใจ พร้อมรับมือกับทุกเหตุการณ์ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพหากต้องหยุดพักงาน
ทำความรู้จัก อาชีพฟรีแลนซ์

อาชีพฟรีแลนซ์ คือ รูปแบบการทำงานที่เป็นอิสระ โดยบุคคลนั้นไม่ได้เป็นลูกจ้างประจำขององค์กรใดองค์กรหนึ่ง แต่รับงานเป็นโครงการหรือเป็นครั้งคราวจากลูกค้าหลากหลายราย ทำให้มีอิสระในการทำงานสูง แต่ไม่มีสวัสดิการ หรือความคุ้มครองต่าง ๆ เช่น เงินเดือนประจำ, ประกันสังคมจากนายจ้าง (ในมาตรา 33) หรือประกันกลุ่ม คอยรองรับ
ทำไมคนทำอาชีพฟรีแลนซ์ควรทำประกัน?

คนทำอาชีพฟรีแลนซ์ควรทำประกันอย่างยิ่ง เนื่องจากมีความเสี่ยงทางการเงินสูง ที่ประกันสังคมภาคสมัครใจ (มาตรา 39/40) อาจไม่ครอบคลุมเพียงพอ โดยมีเหตุผลสำคัญดังนี้
- ฟรีแลนซ์ไม่มีประกันสังคมมาตรา 33 หรือประกันกลุ่ม ซึ่งเป็นสวัสดิการหลักที่คุ้มครองค่ารักษาพยาบาลและชดเชยรายได้เมื่อเจ็บป่วย ทำให้ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเองทั้งหมด
 - หากฟรีแลนซ์เจ็บป่วยหรือประสบอุบัติเหตุจนต้องหยุดทำงานหรือเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล ก็จะหยุดได้รับรายได้ทันที ซึ่งต่างจากพนักงานประจำที่ยังมีเงินเดือนจ่ายตามปกติ
 - หากต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเอกชนโดยไม่มีประกันสุขภาพรองรับ ค่าใช้จ่ายอาจสูงถึงหลักแสนบาท ซึ่งจะกลายเป็นวิกฤตทางการเงินที่ทำลายเงินเก็บที่สะสมมาทั้งหมดได้
 - ด้วยรายได้ของฟรีแลนซ์ที่มักไม่สม่ำเสมอ การทำประกันชีวิตจึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างวินัยการออม และสร้างหลักประกันเงินก้อนให้ครอบครัว ในกรณีที่ผู้หารายได้หลักเสียชีวิตลง
 
ปัญหาสุขภาพอะไรบ้างที่ฟรีแลนซ์ต้องระวัง

ลักษณะการทำงานของฟรีแลนซ์ที่ต้องใช้ร่างกายและสมองอย่างหนัก รวมถึงรูปแบบการใช้ชีวิตที่ยืดหยุ่นเกินไป ทำให้มีความเสี่ยงด้านสุขภาพที่ต้องระวังเป็นพิเศษ อาทิ
1. กลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรม
เนื่องจากฟรีแลนซ์มักทำงานจากที่บ้านหรือโคเวิร์กกิ้งสเปซ โดยไม่มีอุปกรณ์ที่ถูกสุขลักษณะตามหลักการยศาสตร์ (Ergonomics) ทำให้เสี่ยงต่ออาการปวดเรื้อรังบริเวณคอ บ่า ไหล่ และหลัง รวมถึงอาการบาดเจ็บที่ข้อมือจากการใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ซึ่งอาจกลายเป็นอาการเรื้อรังและต้องทำกายภาพบำบัดต่อเนื่องได้
2. ความเครียดและภาวะหมดไฟ
ฟรีแลนซ์ต้องจัดการงานหลายอย่างพร้อมกัน ตั้งแต่การทำงานจริง การหาลูกค้า การเจรจาต่อรอง และการจัดการการเงิน ซึ่งนำไปสู่ความเครียดเรื้อรัง การนอนไม่หลับ และเสี่ยงต่อภาวะหมดไฟ ที่ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงานและสุขภาพจิตโดยตรง ซึ่งหากอาการรุนแรงก็อาจต้องพึ่งพาการบำบัดทางจิตเวชได้
3. โรคที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการกินและการใช้ชีวิต
การทำงานที่ไม่มีเวลากำหนดแน่นอนและเร่งรีบ มักทำให้ฟรีแลนซ์ละเลยการดูแลสุขภาพ เช่น การสั่งอาหารสำเร็จรูปที่มีไขมันสูง การนั่งทำงานนานเกินไป และการดื่มชา/กาแฟในปริมาณมาก ซึ่งจะไปเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ในระยะยาว เช่น โรคอ้วนลงพุง ความดันโลหิตสูง เบาหวาน และไขมันในเลือดสูง
อาชีพฟรีแลนซ์เลือกประกันแบบไหนดี?

สำหรับฟรีแลนซ์ที่ต้องการสร้างหลักประกันทางการเงินอย่างรอบด้าน ควรเลือกทำประกันหลายประเภทเพื่อมาเติมเต็มความเสี่ยงที่ขาดหายไปจากสวัสดิการ โดยมี 7 ประเภทที่แนะนำดังนี้
1. ประกันสังคม (มาตรา 40 หรือ มาตรา 39)
แม้จะไม่ใช่ประกันชีวิตโดยตรง แต่ฟรีแลนซ์ควรสมัครประกันสังคมภาคสมัครใจ (มาตรา 40) เพื่อให้ได้รับสิทธิประโยชน์พื้นฐานด้านการรักษาพยาบาล เงินชดเชยเมื่อเจ็บป่วย และเงินบำเหน็จชราภาพ หรือหากเคยเป็นพนักงานประจำมาก่อน ควรพิจารณาสมัคร มาตรา 39 เพื่อรักษาสิทธิความคุ้มครองที่ครอบคลุมกว่า ซึ่งเป็นรากฐานความมั่นคงที่ทุกคนควรมี
2. ประกันสุขภาพ
เป็นสิ่งที่ฟรีแลนซ์ขาดไม่ได้ เพราะช่วยโอนความเสี่ยงค่ารักษาพยาบาลไปให้บริษัทประกัน โดยคุณควรเลือกแผนประกันสุขภาพที่ให้วงเงินสูงพอสมควรและครอบคลุมทั้งค่าผู้ป่วยใน (IPD) และหากเป็นไปได้ควรเลือกแผนที่รองรับการรักษาแบบผู้ป่วยนอก (OPD) ร่วมด้วย เพื่อครอบคลุมค่าปรึกษาแพทย์หรือทำกายภาพบำบัดอาการออฟฟิศซินโดรมร่วมด้วย เป็นต้น
3. ประกันสะสมทรัพย์หรือประกันบำนาญ
เมื่อรายได้ของฟรีแลนซ์ไม่แน่นอน การมีประกันแบบสะสมทรัพย์จะช่วยสร้างวินัยการออมแบบกึ่งบังคับ เพื่อเป้าหมายทางการเงินในอนาคต ช่วยให้คุณมีเงินก้อนคืนเมื่อครบกำหนดสัญญา ส่วนประกันแบบบำนาญ จะช่วยรับประกันว่าคุณจะมีกระแสเงินสดที่แน่นอนใช้หลังเกษียณ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งเพราะฟรีแลนซ์ไม่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพนั่นเอง
4. ประกันโรคร้ายแรง
เนื่องจากค่ารักษาโรคร้ายแรงนั้นสูงมากและต้องใช้ระยะเวลาในการรักษานาน ประกันโรคร้ายแรงจึงตอบโจทย์มาก ๆ เพราะจะจ่ายเป็นเงินก้อนทันที เมื่อตรวจพบโรคตามเงื่อนไข ซึ่งเงินก้อนนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับฟรีแลนซ์ เพราะสามารถนำไปใช้เป็นค่าครองชีพทดแทนรายได้ที่ต้องหยุดชะงักลงในช่วงที่ต้องพักรักษาตัวได้
5. ประกันชีวิต แบบตลอดชีพหรือแบบชั่วระยะเวลา
หากคุณมีครอบครัวที่ต้องดูแล ประกันชีวิตจะเป็นเสาหลักในการทดแทนรายได้ให้กับพวกเขาแบบชั่วระยะเวลา โดยจะให้ทุนประกันสูงในเบี้ยที่ต่ำ เหมาะกับการคุ้มครองภาระหนี้สินในช่วงอายุที่สร้างครอบครัว ส่วนประกันแบบตลอดชีพ จะเหมาะสำหรับการสร้างเงินก้อนมรดกที่แน่นอนส่งต่อให้ลูกหลานในระยะยาว
6. ประกันชดเชยรายได้
เป็นประกันที่จ่ายเงินชดเชยรายวัน ให้แก่ผู้เอาประกันเมื่อต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับฟรีแลนซ์ เพราะเงินส่วนนี้จะมาทำหน้าที่เป็นรายได้ทดแทนในช่วงที่ไม่มีรายได้จากการทำงาน ทำให้มั่นใจได้ว่าแม้ป่วยหนัก รายรับรายวันก็ยังคงมีอยู่เพื่อใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน
7. ประกันอุบัติเหตุ
เนื่องจากอุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาและอาจส่งผลให้ต้องหยุดทำงานเป็นเวลานาน ประกันอุบัติเหตุจึงค่อนข้างจำเป็น เพราะจะให้ความคุ้มครองที่รวดเร็วและชัดเจนในกรณีบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ โดยจะครอบคลุมค่ารักษาพยาบาลและอาจมีเงินชดเชย ในกรณีทุพพลภาพหรือเสียชีวิตจากอุบัติเหตุโดยเฉพาะ ซึ่งจะช่วยเสริมความคุ้มครองจากประกันสุขภาพทั่วไปได้เป็นอย่างดี
4 ข้อพิจารณาในการเลือกประกัน สำหรับอาชีพฟรีแลนซ์
เนื่องจากฟรีแลนซ์ต้องออกแบบสวัสดิการของตนเองทั้งหมด การพิจารณาอย่างรอบคอบในการเลือกแผนประกันจึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยมี 4 ข้อที่ควรคำนึงถึง ดังนี้

1. ลำดับความสำคัญของความคุ้มครอง
ฟรีแลนซ์ควรให้ความสำคัญกับประกันสุขภาพและประกันชดเชยรายได้เป็นอันดับแรก เพราะความเสี่ยงที่กระทบต่อรายได้โดยตรงที่สุด คือ การเจ็บป่วยที่ทำให้ทำงานไม่ได้ หากไม่มีเงินสำรองค่ารักษาพยาบาล (ประกันสุขภาพ) และไม่มีเงินชดเชยเมื่อขาดรายได้ (ประกันชดเชยรายได้) จะทำให้แผนการเงินทั้งหมดล้มทันที ส่วนประกันชีวิตเพื่อมรดกควรทำเป็นลำดับถัดมาตามภาระหนี้สินที่คุณมี
2. ความยืดหยุ่นและประเภทของเบี้ยประกัน
เนื่องจากรายได้ของฟรีแลนซ์มีความไม่แน่นอน จึงควรเลือกแผนประกันที่มีความยืดหยุ่นในการชำระเบี้ย เช่น ประกันชีวิตแบบควบการลงทุน (Unit Linked) ที่สามารถปรับลดหรือหยุดพักชำระเบี้ยได้เมื่อกระแสเงินสดตึงตัว หรือเลือกประกันสุขภาพที่สามารถปรับลดแผนความคุ้มครองลงได้หากต้องการควบคุมค่าใช้จ่าย เพื่อให้สามารถถือครองกรมธรรม์ได้ในระยะยาวโดยไม่เป็นภาระที่หนักจนเกินไป
3. วงเงินความคุ้มครองที่สูงพอจะเปลี่ยนโรงพยาบาลได้
ฟรีแลนซ์ส่วนใหญ่อาจมีสิทธิประกันสังคมพื้นฐานอยู่แล้ว ดังนั้นการเลือกประกันสุขภาพ จึงควรเลือกวงเงินความคุ้มครองที่สูงพอที่จะเข้าถึงโรงพยาบาลเอกชนได้ทันที เพราะการรอคิวรักษาจากสิทธิพื้นฐานอาจทำให้เสียเวลาทำงานและรายได้ไป ดังนั้นการมีวงเงินสูงจึงเป็นการซื้อความสะดวก ความรวดเร็ว และทำให้กลับไปสร้างรายได้ได้เร็วขึ้น
4. ประโยชน์ในการลดหย่อนภาษี
ฟรีแลนซ์มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา การเลือกทำประกันชีวิต (ลดหย่อนได้สูงสุด 100,000 บาท) และประกันสุขภาพ (ลดหย่อนได้สูงสุด 25,000 บาท) ถือเป็นการบริหารจัดการภาษีที่ฉลาด เพราะนอกเหนือจากการได้รับความคุ้มครองแล้ว ก็ยังสามารถนำเบี้ยประกันไปลดภาระทางภาษีในแต่ละปีได้อีกด้วย ทำให้การจ่ายเบี้ยประกันมีความคุ้มค่ายิ่งขึ้น
แนะนำ 5 แผนประกันที่น่าสนใจสำหรับฟรีแลนซ์
สำหรับฟรีแลนซ์ที่ต้องดูแลรายได้และความมั่นคงด้วยตัวเอง การมีหลักประกันทั้งสุขภาพ รายได้ และการออมคือสิ่งจำเป็น นุ่นขอแนะนำ 5 แผนประกันจาก AIA ที่ออกแบบมาเพื่อคนทำงานอิสระโดยเฉพาะ ช่วยให้คุณทำงานได้อย่างมั่นใจ พร้อมหลักประกันรองรับทุกสถานการณ์ในชีวิต
1. AIA H&S Plus Gold (สัญญาเพิ่มเติมสุขภาพยอดนิยม)
แผนนี้ คือ สิ่งจำเป็นอันดับแรกสำหรับฟรีแลนซ์ เพราะช่วยโอนความเสี่ยงค่ารักษาพยาบาลไปยังบริษัทประกัน โดยให้วงเงินความคุ้มครองสูงทั้งผู้ป่วยใน (IPD) และสามารถเลือกเพิ่มผู้ป่วยนอก (OPD) ได้ ทำให้คุณสามารถเข้าถึงการรักษาที่รวดเร็วในโรงพยาบาลเอกชนเมื่อเจ็บป่วยจากอาการทั่วไปหรือออฟฟิศซินโดรม โดยที่เงินเก็บของคุณไม่ต้องร่อยหรอไปกับค่ารักษาพยาบาล
2. AIA CI SuperCare (สัญญาเพิ่มเติมโรคร้ายแรง)
เป็นแผนที่สำคัญสำหรับฟรีแลนซ์ที่ต้องพึ่งพารายได้จากการทำงานเพียงอย่างเดียว โดยแผนนี้ AIA CI SuperCare จะมอบความคุ้มครองโดยจ่ายเป็นเงินก้อนทันที เมื่อตรวจพบโรคร้ายแรง (รวมถึงระยะเริ่มต้น) เพื่อเป็นรายได้ทดแทนในกรณีฉุกเฉิน ให้คุณสามารถหยุดพักรักษาตัวได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายในการครองชีพ หรือนำเงินไปเป็นค่ารักษาทางเลือกที่นอกเหนือจากสิทธิพื้นฐานก็ได้
3. AIA H&S (สัญญาเพิ่มเติม ชดเชยรายได้รายวัน)
เนื่องจากรายได้ของฟรีแลนซ์จะหยุดลงทันทีที่ป่วย สัญญาเพิ่มเติมชดเชยรายได้จึงมีความสำคัญไม่แพ้ประกันสุขภาพ โดยประกันแผนนี้จะจ่ายเป็นเงินชดเชยรายวันตามจำนวนที่กำหนด ซึ่งเมื่อคุณต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล (IPD) เงินชดเชยนี้จะช่วยรักษากระแสเงินสดให้ดำเนินต่อไปได้ แม้ในช่วงที่คุณไม่สามารถออกไปทำงานได้ตามปกติ
4. AIA Annuity Fix (ประกันชีวิตแบบบำนาญ)
เนื่องจากฟรีแลนซ์ไม่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ AIA Annuity Fix จึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการวางแผนเกษียณอย่างเป็นระบบ ช่วยให้คุณออมเงินอย่างมีวินัย และรับประกันว่าจะมีเงินบำนาญคืนเป็นรายปีอย่างสม่ำเสมอเมื่อถึงวัยเกษียณ นอกจากนี้ยังเป็นช่องทางในการลดหย่อนภาษีได้สูงสุดถึง 200,000 บาท ช่วยสร้างความมั่นคงในวัยที่ไม่มีรายได้จากการทำงานแล้ว
5. AIA Issara Plus (Unit Linked)
แผนนี้มอบความยืดหยุ่นสูงสุดที่เหมาะกับธรรมชาติการเงินของฟรีแลนซ์ โดยเป็นประกันชีวิตควบการลงทุนที่ให้คุณกำหนดสัดส่วนความคุ้มครองชีวิตและการลงทุนเองได้ คุณสามารถเพิ่ม/ลดวงเงินคุ้มครองหรือหยุดพักชำระเบี้ยได้เมื่อกระแสเงินสดไม่แน่นอน และยังมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้น จากการลงทุนในกองทุนรวม เพื่อสร้างความมั่งคั่งในระยะยาวไปพร้อม ๆ กับมอบความคุ้มครองชีวิตไปในตัว
สรุป
สำหรับอาชีพฟรีแลนซ์หรืออาชีพอิสระ การมีอิสระทางการเงินนั้นต้องแลกมาด้วยการขาดสวัสดิการพื้นฐาน และความเสี่ยงที่รายได้จะหยุดลงทันทีเมื่อเจ็บป่วย ดังนั้นการวางแผนประกันจึงมีความสำคัญยิ่งกว่าอาชีพอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประกันสุขภาพและประกันชดเชยรายได้ เพื่อเป็นกำแพงป้องกันค่ารักษาพยาบาลและรายได้ที่ขาดหายไป ควบคู่ไปกับการทำประกันชีวิตหรือประกันบำนาญ เพื่อสร้างหลักประกันมรดกและความมั่นคงในวัยเกษียณ

หากคุณต้องการคำปรึกษาเพื่อออกแบบแผนประกันชีวิตและสุขภาพที่ตอบโจทย์ความเสี่ยงเฉพาะตัวของอาชีพฟรีแลนซ์ได้อย่างลงตัว ติดต่อ นุ่น ตัวแทนประกันชีวิต AIA ได้เลย! โทร. 065-954-1646
