Home » blogs » ประกันชีวิตมีกี่ประเภท แต่ประเภทเหมาะกับใครบ้าง ต่างกันอย่างไร?

ประกันชีวิตมีกี่ประเภท แต่ประเภทเหมาะกับใครบ้าง ต่างกันอย่างไร?

ประกันชีวิตเป็นเครื่องมือสำคัญในการวางแผนทางการเงินและสร้างความมั่นคงให้กับชีวิต ซึ่งมีหลากหลายรูปแบบให้เลือก เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่แตกต่างกันของผู้เอาประกันภัย แล้วคุณสงสัยไหมว่าจริง ๆ แล้ว ประกันชีวิตมีกี่ประเภทกันแน่ และแต่ละประเภทเหมาะกับใครบ้าง? มาไขคำตอบเหล่านี้ได้ที่นี่เลย!

ประกันชีวิตมีทั้งหมดกี่ประเภท? ประเภทอะไรบ้าง?  

ประกันชีวิตโดยทั่วไปจะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ๆ คือ ประกันชีวิตแบบพื้นฐาน และประกันชีวิตแบบพิเศษ ซึ่งแต่ละกลุ่มก็มีแบ่งเป็นประเภทย่อยที่แตกต่างกันไป เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของผู้เอาประกันภัย ดังนี้

ประกันชีวิตแบบพื้นฐาน

1.ประกันชีวิตแบบตลอดชีพ (Whole Life Insurance) 

ประกันชีวิตประเภทนี้จะให้ความคุ้มครองชีวิตคุณไปตลอด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็จะได้รับเงินสินไหมทดแทน ซึ่งจะจ่ายให้แก่ผู้รับผลประโยชน์เมื่อคุณเสียชีวิต หรือหากคุณมีชีวิตอยู่จนครบสัญญา เช่น ถึงอายุ 90 หรือ 99 ปี ก็จะได้รับเงินคืน โดยคุณจะชำระเบี้ยประกันเป็นระยะเวลาที่กำหนด เช่น 10 ปี, 20 ปี หรือจนถึงอายุที่ระบุไว้

ประกันประเภทนี้เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการความคุ้มครองชีวิตระยะยาว เพื่อส่งต่อเป็นมรดกให้ลูกหลาน สร้างหลักประกันให้ครอบครัวในระยะยาว หรือผู้ที่ต้องการวางแผนลดหย่อนภาษี

2.ประกันชีวิตแบบชั่วระยะเวลา (Term Life Insurance) 

ประกันชีวิตแบบนี้จะคุ้มครองชีวิตคุณในช่วงระยะเวลาที่กำหนดเท่านั้น เช่น 5 ปี, 10 ปี, 20 ปี หรือจนถึงอายุที่ระบุ หากคุณเสียชีวิตภายในระยะเวลาดังกล่าว บริษัทประกันจะจ่ายเงินสินไหมทดแทนให้ผู้รับผลประโยชน์ แต่ถ้าคุณมีชีวิตอยู่จนครบกำหนดสัญญา ประกันก็จะสิ้นสุดลงโดยไม่มีการจ่ายคืนเบี้ยประกัน

ประกันประเภทนี้เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการความคุ้มครองสูงแต่จ่ายเบี้ยประกันไม่แพง เพื่อคุ้มครองภาระหนี้สิน เช่น ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ หรือเพื่อสร้างหลักประกันให้ครอบครัวในช่วงที่ยังมีภาระค่าใช้จ่ายสูง เช่น ต้องมีค่าเล่าเรียนลูกต่อเนื่องระยะยาว เป็นต้น

3.ประกันชีวิตแบบบำนาญ (Annuity Insurance) 

ประกันชีวิตชนิดนี้จะเน้นการออมเงินเพื่อไว้ใช้ในวัยเกษียณ โดยจะต้องชำระเบี้ยประกันเป็นงวด ๆ หรือจ่ายครั้งเดียว และเมื่อถึงอายุที่กำหนด บริษัทประกันจะเริ่มทยอยจ่ายเงินคืนให้คุณเป็นงวด ๆ อย่างสม่ำเสมอไปจนครบกำหนด หรือบางแผนก็อาจจ่ายให้ตลอดชีวิต

ประกันประเภทนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการวางแผนการเงินเพื่อชีวิตหลังเกษียณ ให้มีรายได้ประจำอย่างมั่นคง ไม่ต้องเป็นภาระลูกหลาน และยังสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ด้วย

4.ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ (Endowment Insurance) 

ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์เป็นการรวมเอาความคุ้มครองชีวิตกับการออมเงินไว้ด้วยกัน คุณจะได้รับความคุ้มครองชีวิตตลอดระยะเวลาสัญญา และเมื่อครบกำหนดสัญญา หากคุณยังมีชีวิตอยู่ ก็จะได้รับเงินคืนพร้อมผลตอบแทน หรืออาจมีเงินปันผลเพิ่มเติมให้ด้วย

ประกันประเภทนี้เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการออมเงินไปพร้อม ๆ กับการได้รับความคุ้มครองชีวิต เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางการเงินระยะสั้นถึงกลางตามที่ตั้งไว้ เช่น เก็บเงินเพื่อการศึกษาบุตร หรือดาวน์บ้าน รวมถึงผู้ที่ต้องการลดหย่อนภาษีและได้รับผลตอบแทนจากการออม

ประกันชีวิตแบบพิเศษ

1.ประกันชีวิตผู้สูงอายุ (Senior Life Insurance) 

ประกันชีวิตสำหรับผู้สูงอายุถูกออกแบบมาเพื่อรองรับความต้องการของคนวัยเกษียณ ที่มักจะเข้าถึงประกันชีวิตได้ยากขึ้นหรือไม่คุ้มค่า ประกันประเภทนี้จะมีความยืดหยุ่นมากขึ้นในเรื่องเงื่อนไขสุขภาพ และบางแผนอาจไม่ต้องตรวจสุขภาพเลย โดยจะให้ความคุ้มครองในกรณีเสียชีวิต

ประกันประเภทนี้เหมาะสำหรับ ผู้สูงอายุที่ต้องการสร้างหลักประกันให้คนข้างหลัง เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เช่น ค่าจัดงานศพ หรือต้องการส่งต่อเงินทุนให้ลูกหลาน โดยอาจมีข้อจำกัดเรื่องทุนประกันหรือระยะเวลาคุ้มครองที่แตกต่างกันไป

2.ประกันชีวิตควบการลงทุน (Unit-Linked Insurance) 

ประกันชีวิตควบการลงทุนเป็นประกันที่รวมเอาความคุ้มครองชีวิตกับการลงทุนไว้ด้วยกัน เบี้ยประกันที่คุณชำระไปจะถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน คือ ส่วนที่เป็นค่าใช้จ่ายในการคุ้มครองชีวิต และส่วนที่นำไปลงทุนในกองทุนรวมที่คุณเลือกเอง ทำให้มีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้นตามผลประกอบการของกองทุน

ประกันประเภทนี้เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการความคุ้มครองชีวิตพร้อมกับมีโอกาสสร้างผลตอบแทนจากการลงทุน และสามารถรับความเสี่ยงจากการลงทุนได้ โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนวงเงินคุ้มครอง หรือสับเปลี่ยนกองทุนได้ตามความเหมาะสม

การเลือกประกันในแต่ละช่วงวัย 

การเลือกซื้อประกันชีวิตที่เหมาะสมกับแต่ละช่วงวัยเป็นสิ่งสำคัญ เพราะความต้องการและความจำเป็นในการคุ้มครองชีวิตของคนเรานั้นจะเปลี่ยนแปลงไปตามอายุและสถานการณ์ ซึ่งจะมีวิธีพิจารณา ดังนี้

  • วัยเด็ก

สำหรับเด็ก ๆ การเลือกประกันชีวิตมักจะเน้นที่การสร้างรากฐานทางการเงินในอนาคต และให้ความคุ้มครองสุขภาพ ซึ่งรวมถึงค่ารักษาพยาบาลจากอุบัติเหตุหรือกรณีเกิดการเจ็บป่วย โดยประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ หรือประกันสุขภาพสำหรับเด็กถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ เพราะนอกจากจะช่วยเก็บเงินเพื่ออนาคต เพื่อเป็นทุนการศึกษาแล้ว ยังช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายด้านการแพทย์ที่อาจเกิดขึ้นได้อีกด้วย

  • วัยรุ่น

ในวัยรุ่นที่เริ่มเข้าสู่ช่วงมหาวิทยาลัยหรือเริ่มทำงานพาร์ทไทม์ การประกันชีวิตอาจยังไม่จำเป็นเท่าวัยอื่น ๆ แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่ดีในการเรียนรู้และทำความเข้าใจเรื่องประกัน การเริ่มต้นด้วยการทำประกันสุขภาพ หรือประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล ก็เป็นทางเลือกที่ดี เพื่อคุ้มครองความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน และช่วยสร้างความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับการบริหารความเสี่ยงได้

  • วัยทำงาน

วัยทำงานเป็นช่วงเวลาที่หลายคนเริ่มมีรายได้เป็นของตัวเอง มีภาระความรับผิดชอบมากขึ้น การเลือกประกันชีวิตจึงควรเน้นที่ความคุ้มครองชีวิตและสุขภาพอย่างครอบคลุม ประกันชีวิตแบบตลอดชีพหรือแบบชั่วระยะเวลาจะช่วยสร้างหลักประกันให้คนข้างหลังได้ หากเกิดเหตุไม่คาดฝัน นอกจากนี้ประกันสุขภาพและประกันโรคร้ายแรงก็เป็นสิ่งจำเป็น เพื่อรองรับค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ที่อาจเกิดขึ้นจากเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ที่อาจส่งผลกระทบต่อรายได้และการใช้ชีวิต

  • วัยสร้างครอบครัว

สำหรับวัยสร้างครอบครัวที่มีภาระทั้งเรื่องบ้าน รถ และค่าใช้จ่ายของบุตรหลาน การประกันชีวิตยิ่งมีความสำคัญเป็นอย่างมาก โดยควรเน้นประกันที่ให้ความคุ้มครองสูง เช่น ประกันชีวิตแบบชั่วระยะเวลา เพื่อให้มั่นใจว่าหากเกิดอะไรขึ้น คนในครอบครัวจะได้ไม่ลำบาก นอกจากนี้ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ก็เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ เพื่อช่วยวางแผนการศึกษาบุตร หรือเตรียมเงินสำหรับเป้าหมายระยะยาวของครอบครัว

  • วัยใกล้เกษียณ

เมื่อเข้าสู่วัยใกล้เกษียณ ภาระทางการเงินอาจลดลง แต่ความเสี่ยงด้านสุขภาพก็เพิ่มขึ้น การวางแผนประกันชีวิตจึงควรเน้นไปที่ประกันบำนาญ เพื่อให้มีรายได้ใช้จ่ายหลังเกษียณอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงประกันสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุ ที่จะช่วยดูแลค่ารักษาพยาบาลและค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพอื่น ๆ เพื่อจะได้ใช้ชีวิตในวัยเกษียณได้อย่างมีความสุขและไร้กังวล

เกณฑ์การตัดสินใจเลือกซื้อประกันชีวิต

การเลือกซื้อประกันชีวิตเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบ เพื่อให้ได้กรมธรรม์ที่ตอบโจทย์ความต้องการและเหมาะสมกับคุณมากที่สุด โดยมีเกณฑ์ในการตัดสินใจเลือก ดังนี้

  • คุณควรกำหนดให้ชัดเจนว่าต้องการซื้อประกันชีวิตไปเพื่ออะไร เช่น เพื่อคุ้มครองรายได้ให้คนข้างหลัง เพื่อออมเงินสำหรับเป้าหมายในอนาคต เพื่อลดหย่อนภาษี หรือเพื่อดูแลค่ารักษาพยาบาล เพราะการมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนจะช่วยจำกัดตัวเลือกและช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
  • ประเมินภาระทางการเงินและความสามารถในการจ่ายเบี้ยประกัน เพราะการซื้อประกันชีวิตเป็นภาระผูกพันระยะยาว คุณจึงควรประเมินรายรับรายจ่ายของตัวเองอย่างรอบคอบ และเลือกแผนประกันที่สอดคล้องกับงบประมาณ เพื่อให้สามารถชำระเบี้ยประกันได้อย่างสม่ำเสมอโดยไม่เดือดร้อน
  • เปรียบเทียบแผนประกันและเงื่อนไขจากหลายบริษัท ทั้งในเรื่องของความคุ้มครอง เบี้ยประกัน ผลประโยชน์ที่จะได้รับ เงื่อนไขและข้อยกเว้นต่าง ๆ เพื่อให้แน่ใจว่าคุณได้เลือกกรมธรรม์ที่ดีที่สุดและคุ้มค่าที่สุดสำหรับคุณ
  • เลือกบริษัทประกันที่มีความน่าเชื่อถือ มีประวัติผลงานที่ดี มีความมั่นคงทางการเงิน และมีบริการหลังการขายที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ เพื่อให้คุณมั่นใจว่าจะได้รับการดูแลที่ดีตลอดอายุสัญญา
  • ก่อนเซ็นสัญญา ควรใช้เวลาอ่านและทำความเข้าใจเงื่อนไขกรมธรรม์ทั้งหมดอย่างละเอียด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของความคุ้มครอง ข้อยกเว้น ระยะเวลารอคอย และสิทธิประโยชน์ต่า งๆ หากมีข้อสงสัยหรือไม่เข้าใจ ควรสอบถามตัวแทนประกันให้ชัดเจน
  • หากคุณยังไม่แน่ใจหรือไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร? การปรึกษาตัวแทนประกันชีวิตที่มีความรู้และประสบการณ์ จะช่วยให้คุณได้รับคำแนะนำที่เหมาะสมกับความต้องการของคุณมากที่สุด

การเลือกประกันชีวิตที่ดีที่สุด คือ ประกันที่ตอบโจทย์ความต้องการของคุณได้อย่างแท้จริง ดังนั้นการใช้เวลาในการศึกษาข้อมูลและพิจารณาอย่างรอบคอบจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดนั่นเอง

5 ข้อดีของการทำประกันชีวิต 

การทำประกันชีวิตนั้นให้มากกว่าแค่การคุ้มครอง แต่ยังเป็นการวางแผนทางการเงินที่สำคัญที่มอบประโยชน์มากมายให้คุณและคนที่คุณรัก อาทิ

  1. สร้างหลักประกันให้คนข้างหลัง กรณีหากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นกับคุณ เช่น เสียชีวิต หรือทุพพลภาพถาวร ประกันชีวิตจะจ่ายเงินสินไหมทดแทนให้กับคนที่คุณรัก เพื่อให้พวกเขามีเงินใช้จ่าย ดำรงชีวิตต่อไปได้ ไม่ต้องเป็นภาระใคร และยังคงรักษามาตรฐานการใช้ชีวิตเดิมไว้ได้
  2. เป็นแหล่งเงินออมและสร้างวินัยทางการเงิน เพราะประกันชีวิตบางประเภท เช่น ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ หรือประกันบำนาญ ไม่เพียงแค่ให้ความคุ้มครอง แต่ยังช่วยให้คุณออมเงินได้อย่างสม่ำเสมอ สร้างวินัยในการออมที่ดี และเมื่อครบกำหนดสัญญา คุณก็จะได้รับเงินก้อนคืนพร้อมผลตอบแทน 
  3. ช่วยลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ได้ตามเงื่อนไขที่กรมสรรพากรกำหนด ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งข้อดีที่ช่วยให้คุณประหยัดเงินในกระเป๋าได้
  4. เพิ่มความมั่นคงทางการเงินในอนาคต หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น จะได้มีเงินทุนสำรองไว้ใช้ ไม่ต้องกังวลเรื่องภาระทางการเงินที่อาจจะเกิดขึ้นกับตนเองและครอบครัว 
  5. เป็นมรดกให้ลูกหลานโดยไม่ต้องเสียภาษีมรดก

คำถามอื่น ๆ ที่พบบ่อย

ประกันชีวิตตัวแรกควรเป็นอันไหน?

ประกันชีวิตตัวแรกที่ควรทำคือ ประกันชีวิตแบบชั่วระยะเวลา (Term Life Insurance) หรือ ประกันชีวิตแบบตลอดชีพ (Whole Life Insurance) ที่เน้นความคุ้มครองชีวิตสูง เพราะเป็นรากฐานสำคัญที่ช่วยสร้างหลักประกันให้คนข้างหลัง หากเกิดเหตุไม่คาดฝัน เงินสินไหมทดแทนที่ได้นี้จะช่วยแบ่งเบาภาระทางการเงินของครอบครัวได้อย่างมาก

อายุ 40 แล้ว ควรจะทำประกันอะไรบ้าง?

เมื่ออายุ 40 ปี ควรเน้นประกันที่ให้ความคุ้มครองที่ครอบคลุมมากขึ้น เนื่องจากภาระความรับผิดชอบมักจะสูงขึ้น และความเสี่ยงด้านสุขภาพก็เพิ่มขึ้นด้วย จึงควรพิจารณาทำประกันแผนต่าง ๆ เหล่านี้

  • ประกันชีวิตแบบตลอดชีพ หรือแบบสะสมทรัพย์ เพื่อสร้างหลักประกันให้ครอบครัว และเริ่มวางแผนเกษียณ
  • ประกันสุขภาพและประกันโรคร้ายแรง เพื่อรองรับค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

อายุ 65 แล้ว ยังทำประกันชีวิตได้หรือไม่?

สามารถทำประกันชีวิตได้อยู่ แม้ว่าตัวเลือกอาจจะจำกัดลง และเบี้ยประกันจะสูงขึ้นก็ตาม แต่ก็ยังมี ประกันชีวิตผู้สูงอายุ หรือบางแผนของประกันชีวิตแบบตลอดชีพที่รับผู้เอาประกันภัยในวัยนี้อยู่ โดยประกันเหล่าก็นี้มักจะเน้นให้ความคุ้มครองในกรณีเสียชีวิต เพื่อไม่ให้เป็นภาระค่าใช้จ่ายแก่ลูกหลาน

ทำประกันชีวิตให้พ่อกับแม่ เลือกประกันแบบไหนดี?

การทำประกันชีวิตให้พ่อกับแม่ ควรพิจารณาประกันชีวิตผู้สูงอายุเป็นหลัก เนื่องจากมีเงื่อนไขการรับประกันที่ยืดหยุ่นกว่า ไม่ต้องตรวจสุขภาพในบางกรณี และเน้นความคุ้มครองในกรณีเสียชีวิต เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นเมื่อท่านจากไป

ทำประกันชีวิตแบบไหนถึงจะดีที่สุด?

ไม่มีประกันชีวิตแบบไหนที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน เพราะประกันที่ดีที่สุดคือประกันที่เหมาะสมกับความต้องการ วัตถุประสงค์ และสถานะทางการเงินของแต่ละบุคคลมากที่สุด ดังนั้นคุณจึงควรพิจารณาจากเป้าหมายของคุณเอง เช่น ต้องการคุ้มครองชีวิตด้านไหนบ้าง ออมเงิน หรือวางแผนเกษียณไหม? จากนั้นจึงค่อยเลือกประเภทประกันที่ตอบโจทย์คุณมากที่สุด

ควรเริ่มทำประกันชีวิตตอนอายุเท่าไหร่?

ควรเริ่มทำประกันชีวิตตั้งแต่เนิ่น ๆ หรือตั้งแต่ตอนที่คุณมีรายได้และเริ่มมีภาระความรับผิดชอบ ยิ่งเริ่มเร็วเท่าไหร่ เบี้ยประกันก็จะยิ่งถูกลง เพราะความเสี่ยงด้านสุขภาพยังต่ำ และคุณก็จะมีเวลาในการออมเงินและสร้างความคุ้มครองที่ยาวนานขึ้น

อยู่คนเดียวไม่มีคนให้ห่วง ควรทำประกันชีวิตหรือไม่?

ควรทำเป็นอย่างยิ่ง! แม้จะอยู่คนเดียวไม่มีคนต้องห่วง แต่ประกันชีวิตก็ยังมีความสำคัญอย่างมาก โดยเฉพาะประกันสุขภาพและประกันโรคร้ายแรง ที่จะช่วยคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลยามเจ็บป่วย ทำให้คุณไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายจำนวนมาก นอกจากนี้ประกันบำนาญก็เป็นสิ่งจำเป็นเช่นกัน เพื่อให้คุณมีเงินใช้จ่ายในวัยเกษียณอย่างมั่นคง โดยไม่ต้องพึ่งพาใคร

สรุป

การทำประกันชีวิตเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการวางแผนชีวิตและการเงินในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นการสร้างหลักประกันที่มั่นคงให้กับคนที่คุณรัก การออมเงินเพื่ออนาคตที่สดใส การใช้สิทธิลดหย่อนภาษี หรือแม้แต่การเพิ่มความมั่นคงทางการเงินให้กับตัวคุณเองในยามจำเป็น

การเลือกประกันชีวิตที่เหมาะสมกับช่วงวัยและความต้องการของคุณจะช่วยให้คุณใช้ชีวิตได้อย่างสบายใจและไร้กังวล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของค่ารักษาพยาบาลและค่าใช้จ่ายในการดูแลสุขภาพที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงยังช่วยให้คุณมีเงินเพียงพอสำหรับใช้จ่ายในยามเกษียณได้อย่างสบาย ๆ

หากคุณยังไม่แน่ใจว่าประกันชีวิตแบบไหนที่ใช่สำหรับคุณ จรินทร์ ในฐานะตัวแทนประกันชีวิต ยินดีให้คำปรึกษา เพื่อช่วยคุณเลือกแผนที่ดีที่สุดและตอบโจทย์ความต้องการของคุณได้อย่างคุ้มค่าที่สุด เพื่อให้คุณได้รับประโยชน์สูงสุดจากการทำประกันชีวิต ติดต่อเราเลย!