ประกันสังคมกับประกันชีวิตแตกต่างกันยังไง ข้อดี ข้อเสีย แบบไหนดีกว่ากัน?
คุณเป็นคนหนึ่งที่คิดว่าสวัสดิการของรัฐอย่างประกันสังคมที่ส่งเงินสมทบทุกเดือนนั้น “เพียงพอแล้ว” สำหรับอนาคตหรือไม่? หลายคนยังสงสัยว่าเมื่อมีสวัสดิการภาคบังคับแล้ว ยังจำเป็นต้องทำประกันชีวิตเพิ่มเติมอีกหรือไม่ และประกันสังคมกับประกันชีวิตแตกต่างกันอย่างไรแน่?
แม้จะใช้คำว่า “ประกัน” เหมือนกัน แต่ระบบเหล่านี้มีวัตถุประสงค์และผลประโยชน์ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นการเปรียบเทียบข้อดีและข้อเสียอย่างละเอียดจะช่วยให้คุณเห็นภาพชัดเจน และตัดสินใจได้ว่าควรพึ่งพาสิ่งใดเพื่อสร้างความมั่นคงที่สมบูรณ์ให้กับทั้งตัวคุณเองและครอบครัว
ประกันสังคม คืออะไร?

ประกันสังคม คือ สวัสดิการภาคบังคับตามกฎหมายที่จัดตั้งโดยรัฐบาล โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อสร้างหลักประกันในการดำรงชีวิตของลูกจ้างที่ทำงานในสถานประกอบการ และให้ความช่วยเหลือเมื่อเกิดการเจ็บป่วย คลอดบุตร ทุพพลภาพ เสียชีวิต ว่างงาน หรือชราภาพ
ข้อดีของประกันสังคม มีอะไรบ้าง?
- ครอบคลุมการรักษาพยาบาลฟรีตามสิทธิ และมีเงินทดแทนให้กรณีว่างงาน หรือคลอดบุตร ซึ่งเป็นสวัสดิการพื้นฐานที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต
 - ผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบในอัตราที่ต่ำมาก (ประมาณ 5% ของค่าจ้าง) เมื่อเทียบกับผลประโยชน์ที่ได้รับ
 - เป็นภาคบังคับที่คนทำงานในระบบทุกคนต้องทำ ช่วยให้มั่นใจได้ว่าจะมีหลักประกันพื้นฐานรองรับ
 - คุ้มครองหลากหลายกรณี ได้แก่ เจ็บป่วย, คลอดบุตร, ทุพพลภาพ, เสียชีวิต, ว่างงาน, ชราภาพ และสงเคราะห์บุตร
 
ข้อเสียของประกันสังคม มีอะไรบ้าง?
- สิทธิการรักษาจำกัด การรักษาพยาบาลต้องทำตามเงื่อนไขของสถานพยาบาลที่เลือก และมีข้อจำกัดในการเข้าถึงการรักษาพิเศษหรือทางเลือกอื่น
 - วงเงินผลประโยชน์ต่ำ เงินบำนาญหรือเงินชดเชยที่ได้รับเมื่อเกษียณอายุ อาจไม่สูงพอที่จะใช้ชีวิตได้อย่างสบายในวัยชรา
 - สิทธิประโยชน์ส่วนใหญ่จะสิ้นสุดลงเมื่อผู้ประกันตนเสียชีวิต โดยไม่ได้เน้นการสร้างมรดกเงินก้อนให้ครอบครัว
 
ประกันชีวิต คืออะไร?

ประกันชีวิตคือ สัญญาภาคสมัครใจ ระหว่างบุคคลกับบริษัทประกัน โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อสร้าง หลักประกันทางการเงินในระยะยาว และการบริหารความเสี่ยงที่เกิดขึ้นกับชีวิตและทรัพย์สินของผู้เอาประกัน
ข้อดีของประกันชีวิต มีอะไรบ้าง?
- สามารถกำหนดวงเงินทุนประกัน (เงินก้อนมรดก) ให้สูงเพียงพอต่อการทดแทนรายได้และภาระหนี้สินของครอบครัวได้
 - มีอิสระในการเลือกสิทธิประโยชน์ สามารถเลือกแบบประกันที่ตอบโจทย์เฉพาะด้านได้ เช่น เน้นการออม, เน้นการลงทุน, เน้นการเกษียณ, หรือเน้นการคุ้มครองโรคร้ายแรง
 - สามารถนำเบี้ยประกันไปลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้
 - เงินสินไหมทดแทนจ่ายเป็นเงินก้อนให้ผู้รับประโยชน์โดยตรง และไม่ถูกรวมเป็นทรัพย์มรดกที่ต้องเสียภาษี
 
ข้อเสียของประกันชีวิต มีอะไรบ้าง?
- เบี้ยประกันมักสูงกว่าเงินสมทบประกันสังคม โดยเฉพาะหากต้องการวงเงินคุ้มครองที่สูง
 - สิทธิประโยชน์จะได้รับเฉพาะสิ่งที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันชีวิตเท่านั้น หากไม่ได้ซื้อสัญญาเพิ่มเติมที่ให้ความคุ้มครองสุขภาพ ก็จะไม่คุ้มครองค่ารักษาพยาบาล
 - สภาพคล่องต่ำ หากยกเลิกกรมธรรม์ก่อนกำหนด (เวนคืน) อาจได้เงินคืนน้อยกว่าเบี้ยที่จ่ายไป
 
ประกันสังคมกับประกันชีวิตแตกต่างกันยังไง?

แม้จะชื่อ “ประกัน” เหมือนกัน แต่ทั้งสองระบบถูกออกแบบมาเพื่อวัตถุประสงค์ที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง โดยประกันสังคมเป็นสวัสดิการพื้นฐานของรัฐ ขณะที่ประกันชีวิตคือการบริหารความเสี่ยงทางการเงินส่วนบุคคล ซึ่งหากเปรียบเทียบให้ชัด ๆ จะแตกต่างกันดังนี้
| 
                
                 หัวข้อเปรียบเทียบ 
               | 
              
                
                 ประกันสังคม (Social Security) 
                
               | 
              
                
                 ประกันชีวิต (Life Insurance) 
                
               | 
            
|---|---|---|
| 1. ลักษณะของสัญญา | สวัสดิการภาคบังคับตามกฎหมาย (พ.ร.บ. ประกันสังคม) | สัญญาภาคสมัครใจกับบริษัทประกัน | 
| 2. วัตถุประสงค์หลัก | คุ้มครองสวัสดิการพื้นฐาน กรณีเจ็บป่วย, ว่างงาน, ชราภาพ และช่วยความมั่นคงทางสังคม | คุ้มครองความมั่นคงทางการเงิน และทดแทนรายได้ระยะยาวให้ครอบครัว | 
| 3. วงเงินความคุ้มครอง | จำกัด ตามฐานเงินเดือนและอัตราเงินสมทบที่กฎหมายกำหนด | เลือกได้ตามความต้องการ งบประมาณ และภาระทางการเงิน | 
| 4. ผลประโยชน์กรณีเสียชีวิต | จ่ายเป็นเงินสงเคราะห์หรือเงินบำเหน็จ (วงเงินจำกัด) และสิทธิส่วนใหญ่จะสิ้นสุดลง | จ่ายเป็นเงินก้อน (ทุนประกัน) ให้ผู้รับประโยชน์โดยตรง และไม่ถือเป็นทรัพย์มรดก | 
| 5. สิทธิลดหย่อนภาษี | ไม่มีสิทธิลดหย่อนภาษี สำหรับเงินสมทบรายเดือน | มีสิทธิลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้สูงสุด 100,000 บาท | 
ประกันสังคมกับประกันชีวิตอันไหนดีกว่ากัน?
จริง ๆ แล้วไม่มีระบบใด “ดีกว่า” กันอย่างสิ้นเชิง เพราะทั้งสองระบบถูกออกแบบมาเพื่อเติมเต็มช่องว่างความมั่นคงที่ต่างกัน ซึ่งมีข้อควรพิจารณาในการเลือกให้เหมาะสมกับความต้องการของคุณ ดังนี้
1.วัตถุประสงค์และความต้องการเฉพาะตัว
การตัดสินใจขึ้นอยู่กับว่าคุณต้องการคุ้มครองอะไรเป็นหลัก หากความต้องการของคุณ คือ สวัสดิการพื้นฐาน และค่ารักษาพยาบาลตามสิทธิ ที่มาพร้อมกับการทำงานประจำ ประกันสังคมจะตอบโจทย์นี้โดยอัตโนมัติ แต่ถ้าเป้าหมายของคุณ คือ การสร้างหลักประกันรายได้ก้อนใหญ่ให้กับครอบครัว, วางแผนมรดก, หรือ การออมเพื่อเกษียณ ในวงเงินที่คุณกำหนดเอง ประกันชีวิตก็จะเป็นเครื่องมือที่จำเป็นสำหรับการบรรลุเป้าหมายเหล่านี้
2. ความเพียงพอของวงเงินคุ้มครอง
ให้ประเมินว่าวงเงินของประกันสังคมนั้นเพียงพอต่อภาระทางการเงินของคุณหรือไม่? ตัวอย่างเช่น เงินบำนาญชราภาพของประกันสังคมมักไม่สูงพอที่จะใช้ชีวิตหลังเกษียณได้อย่างสบาย และเงินสงเคราะห์กรณีเสียชีวิตก็มีวงเงินที่จำกัดมาก หากคุณมีภาระหนี้สินสูง หรือมีครอบครัวที่ต้องดูแล คุณจำเป็นต้องพึ่ง ประกันชีวิตมาเติมเต็มช่องว่างของทุนประกันให้เพียงพอต่อการทดแทนรายได้ที่ขาดหายไปอย่างน้อย 5-10 ปี เพื่อความมั่นคงของคนข้างหลัง
3. การควบคุมสิทธิประโยชน์
ประกันชีวิตให้อิสระในการควบคุมสิทธิประโยชน์ได้อย่างสมบูรณ์ ทั้งการกำหนดวงเงินคุ้มครอง, เลือกผู้รับประโยชน์, และเลือกประเภทแผนที่ตอบโจทย์การออมหรือการลงทุน ในขณะที่ประกันสังคมเป็นสวัสดิการที่ถูกกำหนดโดยรัฐ คุณจึงไม่สามารถเลือกวงเงินทุนประกันหรือเลือกสถานพยาบาลนอกเหนือจากสิทธิที่ได้รับได้ ดังนั้นหากคุณต้องการความยืดหยุ่นและการออกแบบความมั่นคงทางการเงินตามความต้องการเฉพาะตัว ประกันชีวิตก็คือทางเลือกที่ตอบโจทย์ได้ตรงจุดที่สุด
4. การวางแผนภาษีและการสร้างความมั่งคั่ง
ประกันชีวิตมอบประโยชน์สองต่อ คือ การลดหย่อนภาษีในแต่ละปี และเป็นเครื่องมือในการสร้างความมั่งคั่ง ผ่านการออมในระยะยาว (ประกันสะสมทรัพย์) หรือการลงทุน (Unit-Linked) นอกจากนี้เงินสินไหมที่จ่ายไปก็ยังได้รับสิทธิพิเศษทางภาษีมรดกด้วย ซึ่งประกันสังคมจะไม่มีสิทธิประโยชน์ด้านการลดหย่อนภาษี และไม่สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการวางแผนความมั่งคั่งได้
จะเห็นได้ว่าโดยพื้นฐานแล้ว ประกันสังคม คือ ความมั่นคงที่จำเป็น ที่คุณได้รับโดยอัตโนมัติ หากคุณเข้าสู่ระบบทำงานที่ต้องยื่นภาษี แต่ประกันชีวิต คือ ความมั่นคงที่สมบูรณ์ ที่คุณต้องสร้างและออกแบบเอง ดังนั้นการวางแผนทางการเงินที่ชาญฉลาดที่สุด ก็คือการใช้ประโยชน์จากประกันสังคมให้เต็มที่ และเสริมด้วยประกันชีวิต เพื่อให้คุณและครอบครัวได้รับการปกป้องจากความเสี่ยงทางการเงินที่สูงกว่าขีดจำกัดของสวัสดิการพื้นฐานของรัฐ

แนะนำ 5 แผนประกันชีวิต AIA ยอดนิยมสำหรับคนวัยทำงาน
สำหรับคนวัยทำงานที่กำลังสร้างความมั่นคงและมองหาเครื่องมือบริหารความเสี่ยงระยะยาว AIA มีแผนประกันชีวิตหลากหลายที่ตอบโจทย์ทั้งด้านความคุ้มครอง การออม และการลงทุน ซึ่งนุ่นมี 5 แผนยอดนิยมที่อยากแนะนำ ได้แก่
1. AIA 20 Pay Life (Non Par)
เป็นแผนประกันชีวิตแบบตลอดชีพ ที่มอบความคุ้มครองยาวนานถึงอายุ 99 ปี แต่มีระยะเวลาชำระเบี้ยประกันเพียง 20 ปีเท่านั้น เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสร้างหลักประกันมรดก หรือเงินทุนก้อนใหญ่ที่แน่นอนให้กับครอบครัวในอนาคต ด้วยเบี้ยประกันที่คงที่และสามารถจบภาระการจ่ายได้ภายในช่วงวัยทำงาน พร้อมสิทธิในการแนบสัญญาเพิ่มเติมการประกันสุขภาพ เพื่อการคุ้มครองที่สมบูรณ์แบบยาวนานตลอดทุกช่วงชีวิต
2. AIA 10 & 15 Pay Life (Non Par)
ทางเลือกสำหรับผู้ที่มีกำลังทรัพย์และต้องการจบภาระการชำระเบี้ยให้เร็วที่สุด โดยให้ความคุ้มครองตลอดชีวิตถึงอายุ 99 ปีเช่นกัน แต่มีทางเลือกให้ชำระเบี้ยเพียง 10 ปี หรือ 15 ปี จุดเด่นของแผนนี้ คือ การล็อกเบี้ยประกันและสิ้นสุดภาระการจ่ายไว ทำให้คุณมีอิสระในการบริหารเงินในอนาคตได้อย่างเต็มที่ เหมาะสำหรับผู้มีรายได้สูง หรือผู้ที่ต้องการสร้างความมั่นคงทางการเงินให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว
3. AIA Pay Life Plus (Non Par)
แผนประกันชีวิตแบบตลอดชีพที่ให้ความคุ้มครองไปถึงอายุ 99 ปี โดยมีจุดเด่น คือ อัตราเบี้ยประกันที่ยืดหยุ่น และมีความคุ้มครองที่สูง เมื่อเทียบกับเบี้ยที่จ่าย เหมาะสำหรับคนวัยทำงานที่เพิ่งเริ่มต้นสร้างครอบครัวและต้องการวงเงินคุ้มครองชีวิตที่สูง ในราคาที่สมเหตุสมผล เพื่อทดแทนรายได้หากเกิดเหตุไม่คาดฝัน และเป็นแผนประกันหลักที่สามารถแนบสัญญาเพิ่มเติมการประกันสุขภาพระยะยาวควบคู่ด้วยได้
4. AIA Legacy Prestige (Non Par)
แผนประกันชีวิตสำหรับผู้ที่ต้องการวางแผนส่งต่อความมั่งคั่ง และสร้างมรดกขนาดใหญ่อย่างแท้จริง โดยแผนนี้มักมีวงเงินคุ้มครองที่สูงมาก และเน้นผลประโยชน์กรณีเสียชีวิต เพื่อให้มั่นใจว่าทรัพย์สินจะถูกส่งต่อให้ทายาทได้อย่างครบถ้วนและเป็นไปตามเจตนารมณ์ เหมาะสำหรับนักธุรกิจ หรือผู้ที่มีฐานะการเงินมั่นคงสูงที่ต้องการบริหารจัดการสภาพคล่องและภาษีมรดกให้คุ้มค่ามากที่สุด
5. AIA Issara Plus (Unit Linked)
ประกันชีวิตแบบควบการลงทุนที่มอบความยืดหยุ่นสูงแก่ผู้เอาประกัน โดยเบี้ยประกันจะแบ่งออกเป็นส่วนของความคุ้มครองและส่วนที่นำไปลงทุนในกองทุนรวมตามความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และสามารถปรับเพิ่ม/ลดความคุ้มครอง หรือหยุดพักชำระเบี้ยได้ตามความจำเป็นในแต่ละช่วงชีวิต ทำให้แผนนี้เหมาะสำหรับคนรุ่นใหม่ที่ต้องการความคุ้มครองชีวิตควบคู่ไปกับโอกาสสร้างผลตอบแทนระยะยาว เพื่อบรรลุเป้าหมายทางการเงินที่ใหญ่ขึ้น
สรุป
ประกันสังคม คือ สวัสดิการพื้นฐานจากรัฐที่ให้ความคุ้มครองและสิทธิรักษาพยาบาลตามที่กำหนด แต่มีวงเงินผลประโยชน์จำกัด ขณะที่ประกันชีวิต เป็นเครื่องมือบริหารความเสี่ยงทางการเงินส่วนบุคคล ที่สามารถกำหนดวงเงินคุ้มครองได้เอง เพื่อทดแทนรายได้ สร้างมรดก หรือวางแผนภาษีอย่างยืดหยุ่น
การวางแผนที่รอบด้านที่สุด คือ ใช้สิทธิประกันสังคมควบคู่กับการทำประกันชีวิต เพื่อเติมเต็มช่องว่างด้านความมั่นคงทางการเงิน โดยเฉพาะคนวัยทำงานที่ต้องสร้างฐานะและดูแลครอบครัว การมีทั้งสองอย่างจึงเป็นเกราะป้องกันที่มั่นคงที่สุดสำหรับคุณและคนที่คุณรัก
หากต้องการคำปรึกษาเพื่อออกแบบแผนประกันชีวิตและสุขภาพที่เหมาะกับภาระทางการเงินของคุณ พร้อมรับสิทธิประโยชน์สูงสุด ติดต่อ นุ่น ตัวแทนประกันชีวิต AIA ได้เลย! โทร. 065-954-1646
