ประกันสุขภาพ OPD และ IPD คืออะไร? ต่างกันยังไง เลือกทำแบบไหน
ยามเจ็บป่วยหรือต้องเข้ารับการรักษาพยาบาล หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า OPD และ IPD ซึ่งเป็นคำที่ใช้กันในวงการแพทย์ แต่รู้หรือไม่ว่า? ทั้งสองคำนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเลือกแผนประกันสุขภาพที่คุ้มค่าที่สุดสำหรับคุณ
เพราะความเข้าใจที่ถูกต้องจะช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างมั่นใจว่าควรจะต้องเลือกประกันแบบไหนดี? วันนี้นุ่นจะพาไปทำความรู้จักกับความแตกต่างของ OPD และ IPD กัน พร้อมไขข้อข้องใจว่าเลือกประกันแบบไหนดี? จึงจะตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และงบประมาณของคุณมากที่สุด
OPD คืออะไร?
OPD ย่อมาจาก Outpatient Department หรือ ผู้ป่วยนอก คือ การรักษาพยาบาลที่ผู้ป่วยสามารถเข้ารับการตรวจรักษาในโรงพยาบาลหรือคลินิก และเดินทางกลับบ้านได้โดยไม่ต้องนอนพักค้างคืน เช่น การไปพบแพทย์เพื่อตรวจรักษาอาการเจ็บป่วยทั่วไป, การรับยา, การฉีดวัคซีน, หรือการทำแผล
ความคุ้มครองของประกันสุขภาพแบบ OPD
ประกันสุขภาพแบบ OPD จะให้ความคุ้มครองครอบคลุมค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการรักษาพยาบาลแบบผู้ป่วยนอก ซึ่งได้แก่
- ค่าปรึกษาแพทย์และค่าแพทย์ ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการตรวจวินิจฉัยโรคโดยแพทย์
- ค่ายาและเวชภัณฑ์ที่ใช้ในการรักษา
- ค่าตรวจวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติการ เช่น ค่าตรวจเลือด, ค่าตรวจปัสสาวะ หรือการเอกซเรย์
- ค่าทำหัตถการหรือรักษาพยาบาลเล็กน้อย เช่น การล้างแผล, การฉีดยา หรือการทำกายภาพบำบัด
ความคุ้มครองที่แผนประกันต่าง ๆ นำเสนอให้ อาจกำหนดเป็นวงเงินต่อครั้ง หรือเป็นวงเงินเหมาจ่ายรายปี ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของกรมธรรม์
ข้อดีของ OPD มีอะไรบ้าง?
การรักษาแบบ OPD หรือผู้ป่วยนอกมีข้อดีหลายอย่างที่ทำให้สะดวกและเหมาะกับการเจ็บป่วยที่ไม่รุนแรง โดยข้อดีหลักๆ มีดังนี้
- ลดภาระค่าใช้จ่าย
ค่ารักษาแบบ OPD จะถูกกว่าแบบ IPD (ผู้ป่วยใน) มาก เพราะไม่มีค่าใช้จ่ายในส่วนของค่าห้องพัก ค่าอาหาร หรือค่าบริการพยาบาลตลอด 24 ชั่วโมง จึงช่วยแบ่งเบาภาระทางการเงินได้ดี โดยเฉพาะสำหรับอาการเจ็บป่วยเล็กน้อยที่เกิดขึ้นบ่อยๆ - สะดวกและรวดเร็ว
ผู้ป่วยสามารถไปพบแพทย์ ตรวจรักษา รับยา และกลับบ้านได้เลยโดยไม่ต้องนอนพักค้างคืนที่โรงพยาบาล ทำให้ประหยัดเวลาและไม่ต้องหยุดงานหรือหยุดเรียนเป็นเวลานาน - เหมาะกับการเจ็บป่วยทั่วไป
OPD เหมาะสำหรับอาการเจ็บป่วยที่ไม่รุนแรง เช่น ไข้หวัด, ท้องเสีย, ปวดหัว, ผื่นแพ้, หรือการฉีดวัคซีน รวมถึงการติดตามอาการของโรคเรื้อรังที่แพทย์นัดให้มาตรวจเป็นประจำ - มีโอกาสได้ใช้บ่อย
ในชีวิตประจำวัน เรามักจะเจ็บป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ มากกว่าการป่วยหนักจนต้องนอนโรงพยาบาล การมีประกันสุขภาพที่ครอบคลุม OPD จึงช่วยให้เราไม่ต้องกังวลกับค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นบ่อยครั้ง และสามารถไปพบแพทย์ได้ทันทีเมื่อมีอาการเจ็บป่วย
ประกันสุขภาพแบบ OPD หรือผู้ป่วยนอก เหมาะกับใครบ้าง?
ประกันสุขภาพแบบ OPD เหมาะสำหรับคนทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะ
- คนที่มีอาการเจ็บป่วยบ่อย เช่น เป็นไข้หวัด, ท้องเสีย, ปวดหัว หรือมีอาการเจ็บป่วยเล็กน้อยที่ไม่รุนแรง
- เด็กเล็กและผู้สูงอายุ ที่มักมีโอกาสเจ็บป่วยเล็กน้อยได้ง่าย
- คนที่ไม่ได้รับสวัสดิการด้านสุขภาพจากบริษัท การมีประกัน OPD จะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการไปหาหมอในแต่ละครั้งได้ หรือแม้แต่ผู้ที่มีประกันอยู่แล้ว แต่วงเงินคุ้มครองต่อครั้งยังไม่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายจริง
IPD คืออะไร?
IPD ย่อมาจาก In-Patient Department หมายถึง ผู้ป่วยใน คือ ผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับการรักษาแบบนอนพักค้างคืนที่โรงพยาบาลอย่างน้อย 6 ชั่วโมงขึ้นไป โดยอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์และพยาบาลอย่างใกล้ชิดตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งมักจะเกิดจากอาการเจ็บป่วยที่รุนแรงหรือต้องได้รับการผ่าตัด
ความคุ้มครองของประกันสุขภาพแบบ IPD
ความคุ้มครองของประกันสุขภาพแบบ IPD จะเน้นไปที่ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการนอนโรงพยาบาลเป็นหลัก ซึ่งโดยทั่วไปจะครอบคลุม
- ค่าห้องและค่าอาหาร ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการพักรักษาตัวในโรงพยาบาล
- ค่าบริการทางการแพทย์ เช่น ค่าตรวจวินิจฉัย และค่าบริการพยาบาล
- ค่ายาและเวชภัณฑ์ที่ใช้ระหว่างการรักษาตัว
- ค่าธรรมเนียมแพทย์ที่มาตรวจรักษา
- ค่าผ่าตัดและหัตถการทางการแพทย์ รวมถึงค่าห้องผ่าตัดและอุปกรณ์ต่าง ๆ
ข้อดีของ IPD มีอะไรบ้าง?
การรักษาแบบ IPD หรือผู้ป่วยในมีข้อดีที่สำคัญอย่างยิ่งเมื่อต้องเผชิญกับอาการเจ็บป่วยที่รุนแรงหรือต้องใช้การดูแลอย่างใกล้ชิด ซึ่งมีข้อดีหลัก ๆ ดังนี้
- คุ้มครองค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่
ค่ารักษาแบบ IPD มักจะสูงมาก ทั้งค่าห้องพัก ค่ายา ค่าผ่าตัด และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งอาจเป็นหลักหมื่นไปจนถึงหลักล้าน การมีประกัน IPD จะช่วยแบ่งเบาภาระทางการเงินที่มหาศาลนี้ได้ ทำให้คุณไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายเมื่อต้องเข้ารับการรักษา - เหมาะกับการรักษาที่ซับซ้อน
IPD เหมาะสำหรับอาการเจ็บป่วยที่ต้องได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องและซับซ้อน เช่น การผ่าตัด การให้ยาเคมีบำบัด หรือการดูแลในห้อง ICU ซึ่งการรักษาเหล่านี้จำเป็นต้องมีแพทย์และพยาบาลดูแลอย่างใกล้ชิดตลอด 24 ชั่วโมง - ได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดตลอด 24 ชั่วโมง
ผู้ป่วยที่พักรักษาตัวในโรงพยาบาลจะอยู่ภายใต้การดูแลของทีมแพทย์และพยาบาลตลอดเวลา ทำให้สามารถเฝ้าระวังอาการได้อย่างต่อเนื่อง และให้การช่วยเหลือได้ทันท่วงทีหากเกิดเหตุฉุกเฉิน - มีเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ครบครัน
การรักษาแบบ IPD ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็นสำหรับการรักษาได้อย่างเต็มที่ เช่น เครื่องช่วยหายใจ, เครื่องวัดคลื่นหัวใจ หรือห้องปลอดเชื้อ เป็นต้น
ประกันสุขภาพแบบ IPD หรือผู้ป่วยใน เหมาะกับใครบ้าง?
ประกันสุขภาพแบบ IPD เหมาะสำหรับทุกคนที่ต้องการหลักประกันที่ให้ความคุ้มครองในวงเงินที่สูงขึ้น เพื่อใช้ในยามเจ็บป่วยหนัก โดยเฉพาะ
- ทุกคนที่ต้องการความคุ้มครองในยามฉุกเฉิน เพราะอาการเจ็บป่วยที่ต้องนอนโรงพยาบาลสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนโดยไม่คาดคิด
- คนที่กังวลว่าอาจจะมีโรคประจำตัวในอนาคต ที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลต่อเนื่อง เช่น โรคเบาหวาน และโรคหัวใจ
- ผู้สูงอายุ ที่มีความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยและโรคร้ายแรงสูงกว่าคนวัยอื่น ๆ
- คนที่ประกอบอาชีพที่มีความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุ เพื่อความคุ้มครองในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุจนต้องเข้าโรงพยาบาล
H2 OPD กับ IPD ต่างกันยังไง?
หลายคนอาจสับสนระหว่าง OPD และ IPD ซึ่งเป็นคำศัพท์สำคัญในวงการแพทย์และการประกันสุขภาพ แต่จริง ๆ แล้วทั้งสองคำนี้มีความแตกต่างที่ชัดเจนในเรื่องรูปแบบการรักษาและการคุ้มครอง ดังตารางนี้
คุณสมบัติ | OPD (Out-Patient Department) | IPD (In-Patient Department) |
ความหมาย | ผู้ป่วยนอก | ผู้ป่วยใน |
ลักษณะการรักษา | รักษาแบบไปเช้า-เย็นกลับ ไม่ต้องนอนค้างคืน | รักษาแบบต้องนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาลอย่างน้อย 6 ชั่วโมง |
ตัวอย่างการรักษา | ไข้หวัด, ท้องเสีย, ฉีดวัคซีน, พบแพทย์ตามนัด | ผ่าตัด, คลอดบุตร, โรคไส้ติ่งอักเสบ, การให้เคมีบำบัด |
ค่าใช้จ่าย | ต่ำกว่า | สูงกว่ามาก (รวมค่าห้อง, ค่าอาหาร, ค่าบริการอื่น ๆ) |
ใครเป็นผู้ประเมิน | แพทย์เป็นผู้ประเมินตามความรุนแรงของอาการ | แพทย์เป็นผู้ประเมินตามความรุนแรงของอาการ |
ข้อพิจารณาในการเลือก ประกันสุขภาพ IPD และ OPD ที่ไหนดี?
การเลือกประกันสุขภาพไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องพิจารณาปัจจัยหลายอย่างเพื่อให้ได้แผนที่คุ้มค่าและตอบโจทย์ที่สุด โดยพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้
- พิจารณาจากความจำเป็นทางการแพทย์: IPD และ OPD เป็นการรักษาที่แพทย์จะพิจารณาจากอาการและความรุนแรงของโรค ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ป่วยจะเลือกเอง ดังนั้นการเลือกประกันจึงควรเลือกให้ครอบคลุมทั้งสองแบบเพื่อความอุ่นใจ
- พิจารณาจากไลฟ์สไตล์และสุขภาพ: หากคุณเป็นคนที่เจ็บป่วยเล็กน้อยบ่อย ๆ เช่น เป็นหวัด, ท้องเสีย หรือปวดหัวบ่อย ๆ การมีประกันที่ครอบคลุมค่ารักษาแบบ OPD จะช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดี
- พิจารณาจากงบประมาณ: ค่าเบี้ยประกันที่ครอบคลุมทั้ง OPD และ IPD จะสูงกว่าการทำประกันเฉพาะ IPD ดังนั้นจึงควรคำนึงถึงงบประมาณที่จ่ายไหว และไม่เป็นภาระทางการเงินที่มากจนเกินไปร่วมด้วย
- พิจารณาจากสวัสดิการที่มี: หากคุณมีสวัสดิการประกันกลุ่มจากที่ทำงานที่ครอบคลุม IPD อยู่แล้ว อาจพิจารณาทำประกันเพิ่มที่เน้นความคุ้มครอง OPD เพื่อเติมเต็มช่องว่างในการดูแลสุขภาพ
- พิจารณาจากความคุ้มครองที่ต้องการ: อ่านรายละเอียดความคุ้มครองให้ชัดเจนว่าครอบคลุมค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง? เช่น ค่าห้อง, ค่าแพทย์, ค่ายา และค่าผ่าตัด เพื่อให้แน่ใจว่าได้ความคุ้มครองที่เหมาะสมกับความต้องการของคุณ
ทั้งนี้การเลือกประกันสุขภาพควรพิจารณาจากความจำเป็นทางการแพทย์เป็นหลัก โดยคำนึงถึงงบประมาณและไลฟ์สไตล์ เพื่อให้ได้แผนที่คุ้มค่าและครอบคลุมความเสี่ยงด้านสุขภาพได้อย่างรอบด้าน
5 เหตุผลที่ควรทำประกันที่ครอบคลุมทั้ง OPD และ IPD
- ครอบคลุมทุกการรักษา
การเจ็บป่วยมีหลายระดับ ตั้งแต่ไม่รุนแรงไปจนถึงร้ายแรง การมีประกันที่ครอบคลุมทั้ง OPD และ IPD ทำให้คุณอุ่นใจได้ว่าไม่ว่าจะป่วยเล็กน้อยจนต้องหาหมอนอกเวลา หรือป่วยหนักจนต้องนอนโรงพยาบาล ก็จะได้รับความคุ้มครองในทุกกรณี - หมดกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย
ค่ารักษาพยาบาลในปัจจุบันมีราคาสูงมาก การมีประกันสุขภาพที่ครอบคลุมทั้งสองส่วนจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างไม่คาดคิด ไม่ว่าจะเป็นค่าปรึกษาแพทย์ในวันที่ไม่สบายเล็กน้อย หรือค่ารักษาพยาบาลมหาศาลเมื่อต้องนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล - ช่วยให้เข้าถึงการรักษาได้ทันท่วงที
เมื่อมีประกันที่ครอบคลุมค่ารักษาพยาบาลแบบ OPD คุณจะกล้าไปพบแพทย์ได้เร็วขึ้นเมื่อมีอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย โดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย ซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้อาการเล็กน้อยลุกลามกลายเป็นโรคร้ายแรงได้ - ให้การดูแลอย่างต่อเนื่อง
การประกันสุขภาพที่ครอบคลุมทั้ง IPD และ OPD จะช่วยให้สามารถดูแลสุขภาพได้อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่การไปพบแพทย์เพื่อติดตามอาการแบบ OPD ไปจนถึงการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลแบบ IPD หากอาการกำเริบ - ความคุ้มค่าที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์
ทุกคนมีความเสี่ยงที่จะเจ็บป่วยได้ การมีประกันสุขภาพที่ครอบคลุมทั้ง IPD และ OPD ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด เพราะจะช่วยให้คุณสามารถดูแลตัวเองและครอบครัวได้อย่างอุ่นใจในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นการเจ็บป่วยเล็กน้อยในชีวิตประจำวัน หรือเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดที่ต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาล
สรุป
การตัดสินใจเลือกทำประกันสุขภาพ aia ระหว่างความคุ้มครองผู้ป่วยใน (IPD) และผู้ป่วยนอก (OPD) ไม่ได้ขึ้นอยู่เพียงแค่เรื่องค่าใช้จ่ายว่าคุ้มค่าหรือไม่? แต่สิ่งสำคัญ คือ ความจำเป็นทางการแพทย์ที่แพทย์เป็นผู้วินิจฉัย อย่างไรก็ตามหากคุณมีประกันที่ครอบคลุมทั้ง OPD และ IPD ก็จะช่วยให้มั่นใจได้มากขึ้น ว่าคุณพร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์ด้านสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นอาการเจ็บป่วยเล็กน้อยหรือโรคร้ายแรงก็ตาม
นุ่น ชลิตา ตัวแทนประกัน AIA พร้อมให้คำปรึกษาอย่างเป็นกันเองและตรงจุด เพื่อเลือกแผนประกันที่เหมาะสมมากที่สุดสำหรับคุณ สามารถติดต่อได้ที่เบอร์ 099-678-7777 เพื่อรับข้อมูลและคำแนะนำเพิ่มเติมได้ทันทีค่ะ