กรมบัญชีกลาง ยกเลิกเบิกจ่ายค่ายารักษาโรค สิทธิข้าราชการ
ในช่วงที่ผ่านมา ข้าราชการและครอบครัวที่ใช้สิทธิเบิกจ่ายตรงกับกรมบัญชีกลาง ต้องเผชิญกับข่าวสำคัญเกี่ยวกับการปรับลดสิทธิการเบิกค่ายารักษาโรคบางรายการ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของหลายครอบครัว
ซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อบริหารจัดการงบประมาณด้านสวัสดิการรักษาพยาบาลของภาครัฐให้มีประสิทธิภาพและยั่งยืนมากขึ้น รวมถึงเพื่อสร้างความเท่าเทียมในการเข้าถึงยา ระหว่างกลุ่มประชาชนต่าง ๆ
บทความนี้นุ่นเลยจะพาไปดูกันว่า เหตุใดกรมบัญชีกลางจึงต้องยกเลิกสิทธิเบิกค่ายา 100% สำหรับข้าราชการ รวมถึงเบื้องหลังของการปรับสิทธิดังกล่าวว่ามีเหตุผลและเป้าหมายอย่างไร?



ทำไมกรมบัญชีกลางยกเลิกสิทธิเบิกค่ายา 100% ข้าราชการ?
การยกเลิกสิทธิเบิกจ่ายค่ายารักษาโรคบางรายการแบบเต็มจำนวน 100% สำหรับข้าราชการและครอบครัว เป็นผลมาจากนโยบายการควบคุมค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของภาครัฐที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และปัจจัยอื่น ๆ ดังนี้
1. งบประมาณสวัสดิการสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด
เนื่องจากงบประมาณที่ใช้ในสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งค่ายาที่มีราคาสูง และมีนวัตกรรมใหม่ ๆ เข้ามา ทำให้ภาครัฐจำเป็นต้องควบคุมการใช้จ่ายเพื่อให้สวัสดิการดำรงอยู่ได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว
2. การควบคุมการใช้ยาที่มีราคาแพงและยาต้นแบบ (Original Drug)
กรมบัญชีกลางได้เริ่มควบคุมการเบิกจ่ายค่ายาบางกลุ่มที่มีราคาแพงมาก โดยเฉพาะยาต้นแบบ (Original drug) โดยมีเป้าหมายให้มีการใช้ยาชื่อสามัญ (Generic drug) ที่มีคุณภาพเทียบเท่ากัน แต่มีราคาถูกกว่า เพื่อประหยัดงบประมาณของประเทศ
3. สร้างความเท่าเทียมในการเข้าถึงยา
การปรับปรุงสิทธิเบิกจ่ายยังเป็นไปเพื่อสร้างความสอดคล้องกับสวัสดิการด้านสุขภาพอื่น ๆ ของประเทศ เช่น สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) และสิทธิประกันสังคม เพื่อให้การเข้าถึงยาที่มีประสิทธิภาพไม่ได้จำกัดเฉพาะกลุ่มข้าราชการเท่านั้น
ยกเลิกสิทธิเบิกค่ายา 100% ข้าราชการ ส่งผลกระทบอะไรบ้าง?
ผลกระทบสำคัญที่สุดของการปรับปรุงสิทธิเบิกจ่ายค่ายาที่มีค่าใช้จ่ายสูง คือ การโอนถ่ายภาระค่าใช้จ่ายบางส่วนไปสู่ตัวข้าราชการ หากผู้มีสิทธิเลือกใช้ยาที่มีราคาแพงกว่าอัตราที่กำหนด ซึ่งจะส่งผลดังนี้



- ภาระร่วมจ่ายส่วนต่างค่ายา (Co-payment)
หากแพทย์สั่งใช้ยาต้นแบบ (Original drug) ที่มีราคาสูงเกินกว่าอัตราที่กรมบัญชีกลางกำหนดไว้ ผู้มีสิทธิจะต้องรับผิดชอบจ่ายส่วนต่างของค่ายานั้นเอง ซึ่งอาจสูงถึงหลักหมื่นหรือหลักแสนบาทต่อคอร์สการรักษา โดยเฉพาะกลุ่มยาโรคมะเร็ง หรือโรคเรื้อรังที่มีค่าใช้จ่ายสูง
- ข้อจำกัดในการเลือกยา
ผู้มีสิทธิอาจถูกจำกัดให้เลือกใช้ยาชื่อสามัญหรือยาชีววัตถุคล้ายคลึงแทนยาต้นแบบ เพื่อให้สามารถเบิกจ่ายได้เต็มจำนวน ซึ่งอาจสร้างความกังวลใจในเรื่องการตอบสนองต่อยา แม้ว่ายาเหล่านั้นจะได้รับการรับรองคุณภาพแล้วก็ตาม
- ความยุ่งยากในการเบิกจ่าย
สำหรับยาที่มีการปรับอัตราเบิกจ่ายใหม่ ผู้ป่วยอาจต้องสำรองจ่ายค่ารักษาไปก่อน แล้วจึงนำใบเสร็จไปเบิกคืนตามอัตราที่กำหนดทีหลัง ทำให้เกิดความยุ่งยากในการปฏิบัติและกระทบต่อสภาพคล่องทางการเงินของผู้ป่วยได้
อัปเดตรายการยาที่ถูกปรับ
กรมบัญชีกลางได้ออกหนังสือเวียนที่กค 0416.2 /ว 537 ลงวันที่ 13 สิงหาคม 2568 เพื่อปรับปรุงหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายค่ายารักษาโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูง โดยได้ยกเลิกอัตราเบิกจ่ายเดิม และกำหนดเพดานอัตราเบิกจ่ายใหม่สำหรับยาสำคัญหลายรายการ โดยเฉพาะกลุ่มยาที่ใช้ในการรักษาโรคมะเร็ง โรคทางโลหิตวิทยา และโรคเรื้อรัง
ซึ่งการปรับปรุงนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้การเบิกจ่ายยาครอบคลุมการรักษา “ทุกข้อบ่งชี้” แต่กำหนดให้เบิกได้ไม่เกินอัตราที่กำหนดไว้นั่นเอง
รายการยาที่ถูกกำหนดเพดานอัตราเบิกจ่ายสูงสุดใหม่
รายการยาต่อไปนี้จะอยู่ภายใต้การกำหนดอัตราเบิกจ่ายใหม่ โดยหากค่ายาเกินกว่าเพดานที่กำหนด ผู้มีสิทธิเบิกจ่ายอาจต้องรับผิดชอบส่วนต่างเอง
|
กลุ่มยา
|
ชื่อสามัญยาที่ถูกกำหนดอัตราเบิกจ่ายใหม่
|
ใช้รักษาโรคหลัก (ตัวอย่าง)
|
|---|---|---|
| กลุ่มยามะเร็งและโลหิตวิทยา | Abiraterone | มะเร็งต่อมลูกหมาก |
| Azacitidine | มะเร็งเม็ดเลือดขาว (MDS) | |
| Bendamustine | มะเร็งต่อมน้ำเหลือง, มะเร็งเม็ดเลือดขาว | |
| Bortezomib | มะเร็งไขกระดูกมัลติเพิลมัยอิโลมา | |
| Dasatinib | มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเรื้อรัง (CML) | |
| Erlotinib / Gefitinib | มะเร็งปอดชนิด Non-Small Cell | |
| Imatinib | มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเรื้อรัง (CML) | |
| Lenalidomide / Thalidomide | มะเร็งไขกระดูก | |
| Trastuzumab | มะเร็งเต้านม, มะเร็งกระเพาะอาหาร | |
| กลุ่มยาชีววัตถุกลุ่มยาอื่น ๆ | Rituximab | มะเร็ง, โรคไตอักเสบ |
| Bevacizumab | มะเร็งลำไส้ใหญ่, มะเร็งรังไข่ | |
| Etanercept | โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ | |
| Fulvestrant | มะเร็งเต้านม |
รายการยาที่ถูกยกเลิกอัตราเบิกจ่ายเดิม
อัตราเบิกจ่ายเดิมของยาเหล่านี้ถูกยกเลิก โดยจะถูกแทนที่ด้วยอัตราใหม่ที่ครอบคลุมทุกข้อบ่งชี้:
- Azacitidine (100 มิลลิกรัม)
- Bendamustine (25 และ 100 มิลลิกรัม)
- Bortezomib (1 และ 3.5 มิลลิกรัม)
- Abiraterone (250 และ 500 มิลลิกรัม)
- Trastuzumab (150, 440 และ 600 มิลลิกรัม)
- Rituximab (100, 500 และ 1,400 มิลลิกรัม)
- Dasatinib (20, 50 และ 70 มิลลิกรัม)
- Fulvestrant (250 มิลลิกรัม)
- Imatinib (100 และ 400 มิลลิกรัม)
คำแนะนำ: ผู้มีสิทธิเบิกจ่ายควรตรวจสอบกับสถานพยาบาลที่เข้ารับการรักษา เพื่อยืนยันอัตราเบิกจ่ายสูงสุดที่กำหนด และทางเลือกในการใช้ยาชื่อสามัญ (Generic drug) เพื่อหลีกเลี่ยงภาระค่าใช้จ่ายส่วนเกิน
กรมบัญชีกลาง กำหนดยาอะไรบ้าง? ที่เบิกได้


โดยหลักการแล้วกรมบัญชีกลางยังคงให้สิทธิข้าราชการและครอบครัวสามารถเบิกจ่ายค่ายาเพื่อการรักษาพยาบาลได้ตามปกติ หากเป็นยาที่ได้รับการบรรจุอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติและยาอื่น ๆ ที่ได้รับการอนุมัติหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายจากกรมบัญชีกลาง
อย่างไรก็ตาม สำหรับกลุ่มยารักษาโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูงที่มีการปรับปรุงในหนังสือหนังสือเวียนที่กค 0416.2 /ว 537 นั้นมีรายละเอียดการเบิกจ่ายซึ่งถูกกำหนดด้วย เพดานอัตราสูงสุด ดังนี้
- เบิกได้เต็มจำนวน (ไม่ต้องร่วมจ่ายส่วนต่าง)
หากสถานพยาบาลเลือกใช้ยาชื่อสามัญ (Generic drug) หรือยาชีววัตถุคล้ายคลึง (Biosimilar) ที่มีคุณภาพเทียบเท่า และมีราคาอยู่ในอัตราเบิกจ่ายสูงสุดที่กรมบัญชีกลางกำหนดไว้
- เบิกได้ไม่เกินอัตราที่กำหนด (ต้องร่วมจ่ายส่วนต่าง)
หากผู้ป่วยเลือกใช้ยาต้นแบบ (Original Drug) ที่มีราคาแพงกว่าอัตราสูงสุดที่กำหนด ผู้ป่วยจะยังเบิกได้ตามเพดานที่กำหนด แต่จะต้องร่วมจ่ายส่วนต่างของค่ายาที่เกินจากเพดานนั้นเอง ซึ่งรายการตัวอย่างยาที่อยู่ภายใต้การกำหนดอัตราเบิกจ่ายใหม่ จะเป็นไปตามลิสต์ของหัวข้อก่อนหน้านั่นเอง
กำหนดยกเลิกสิทธิข้าราชการเบิกค่ายา 100% เริ่มวันไหน?
การปรับปรุงหลักเกณฑ์และยกเลิกอัตราเบิกจ่ายค่ายาเดิมสำหรับกลุ่มยาที่มีค่าใช้จ่ายสูง ตามหนังสือกรมบัญชีกลางที่ กค 0416.2 /ว 537 ลงวันที่ 13 สิงหาคม 2568 นั้น ได้กำหนดให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2568 เป็นต้นไป
หมายความว่าตั้งแต่วันที่ดังกล่าว ข้าราชการที่ต้องใช้ยาในกลุ่มนี้จะต้องใช้ยาภายใต้อัตราเบิกจ่ายใหม่ ซึ่งอาจทำให้เกิดภาระค่าใช้จ่ายร่วมจ่าย (Co-payment) หากเลือกใช้ยาต้นแบบที่มีราคาสูงเกินกว่าเพดานที่กำหนด
โรคร้ายอะไรบ้าง? ที่ข้าราชการเบิกค่ายาเต็มจำนวนไม่ได้ ต้องร่วมจ่าย 2569
การร่วมจ่ายค่ายาไม่ได้ขึ้นอยู่กับ “ความร้ายแรงของโรค” แต่ขึ้นอยู่กับ “ชนิดของยา” ที่ใช้ในการรักษา ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นยาที่มีนวัตกรรมสูงและมีราคาแพง โดยยาเหล่านี้มักเป็นยาสำหรับใช้รักษากลุ่มโรคร้ายแรงและโรคเรื้อรังที่มีค่าใช้จ่ายสูง ดังตัวอย่างต่อไปนี้

|
กลุ่มโรค
|
ตัวอย่างโรคที่ต้องใช้ยากลุ่มค่าใช้จ่ายสูง
|
ตัวอย่างยาที่มีการกำหนดอัตราเบิกจ่ายใหม่
|
ภาระร่วมจ่าย
|
|---|---|---|---|
| โรคมะเร็งและโลหิตวิทยา | มะเร็งเต้านม, มะเร็งต่อมลูกหมาก, มะเร็งไขกระดูก, มะเร็งเม็ดเลือดขาว (CML) | Trastuzumab, Abiraterone, Bortezomib, Dasatinib | ต้องร่วมจ่ายส่วนต่าง หากเลือกใช้ยาต้นแบบที่ราคาสูงกว่าเพดาน |
| โรคภูมิต้านทานผิดปกติ | โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์, โรคไตอักเสบรุนแรง | Rituximab, Etanercept |
ดังนั้นในปี พ.ศ. 2569 (ค.ศ. 2026) ข้าราชการที่มีโรคเหล่านี้และจำเป็นต้องใช้ยาที่อยู่ในรายการควบคุม จะต้องพิจารณาเลือกใช้ยาชื่อสามัญ หรือเตรียมเงินสำรองสำหรับร่วมจ่ายส่วนต่างของค่ายา หากต้องการใช้ยาต้นแบบตามดุลยพินิจของแพทย์
สรุป
การที่กรมบัญชีกลางประกาศยกเลิกและปรับอัตราเบิกจ่ายค่ายารักษาโรคบางรายการ ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงสำคัญที่มีผลโดยตรงต่อสิทธิของข้าราชการและครอบครัว ซึ่งมีจุดประสงค์หลัก คือ เพื่อบริหารงบประมาณด้านสวัสดิการรักษาพยาบาลให้มีความยั่งยืน และสร้างความเท่าเทียมในการเข้าถึงยาสำคัญในระบบสาธารณสุข
อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวอาจส่งผลให้ผู้มีสิทธิเบิกค่ารักษาต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายบางส่วนด้วยตนเองมากขึ้น ดังนั้นการวางแผนทางการเงินและการทำประกันสุขภาพเพิ่มเติม จึงกลายเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยเสริมความมั่นใจและลดภาระค่าใช้จ่ายในอนาคตได้
หากคุณสนใจสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับแผนประกันชีวิตหรือสุขภาพเพิ่มเติม ติดต่อ “นุ่น” ตัวแทนประกันชีวิต AIA ได้เลย! โทร. 065-954-1646

