Home » blogs » รู้ไว้ก่อนสาย ประกันชีวิตขาดได้กี่เดือน?

รู้ไว้ก่อนสาย ประกันชีวิตขาดได้กี่เดือน?

เมื่อชีวิตมีการเปลี่ยนแปลง บางครั้งอาจเกิดปัญหาทางการเงินจนไม่สามารถชำระเบี้ยประกันได้ตามกำหนด และหากปล่อยไว้นานเกินไป กรมธรรม์อาจเข้าสู่สถานะ “ขาดอายุ” ซึ่งหมายถึงการสิ้นสุดความคุ้มครองที่คุณอุตส่าห์วางแผนไว้และจ่ายเบี้ยประกันต่อเนื่องมาหลายปี

ดังนั้น การเข้าใจ ระยะเวลาผ่อนผัน และ ผลกระทบของการขาดส่งเบี้ยประกัน จึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้คุณสามารถจัดการกรมธรรม์ได้ทันเวลา ก่อนที่ความคุ้มครองอันมีค่าจะหมดลงโดยไม่ตั้งใจ

การขาดส่งเบี้ยประกัน คืออะไร?

การขาดส่งเบี้ยประกัน คือ สถานการณ์ที่ผู้เอาประกันภัยไม่สามารถชำระเบี้ยประกันชีวิตงวดใดงวดหนึ่งได้ทันตามวันครบกำหนดชำระ ตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ ซึ่งหากไม่ได้รับการแก้ไขภายในระยะเวลาที่กำหนด จะส่งผลให้กรมธรรม์หยุดความคุ้มครองชั่วคราว หรือกลายเป็นการขาดอายุไปในที่สุด

ไม่จ่ายประกันชีวิตกี่เดือน ถึงนับว่าขาดประกัน?

โดยทั่วไปแล้ว กรมธรรม์ประกันชีวิตจะไม่ถือว่าขาดอายุทันทีเมื่อพ้นกำหนดชำระเบี้ย แต่จะเข้าสู่ช่วงที่เรียกว่า “ระยะผ่อนผัน” (Grace Period) ก่อนเสมอ ซึ่งบริษัทประกันส่วนใหญ่มักให้ระยะเวลา 31 วัน นับจากวันที่ครบกำหนดชำระเบี้ยประกัน

โดยในช่วง 31 วันของระยะผ่อนผันนี้ กรมธรรม์จะยังคงมีผลบังคับใช้ตามปกติ หากผู้เอาประกันเสียชีวิตระหว่างนั้น บริษัทประกันจะยังคงจ่ายสินไหมทดแทนให้อยู่ แต่หากพ้นระยะผ่อนผัน 31 วันไปแล้วยังไม่ได้ชำระเบี้ย หรือไม่ได้ใช้สิทธิในการต่ออายุหรือคงสถานะกรมธรรม์ไว้ กรมธรรม์จะถือว่า “ขาดอายุ” และสิ้นสุดความคุ้มครองโดยสมบูรณ์

ขาดต่อประกันแบบไหน ถึงไม่ได้รับความคุ้มครอง?

ความคุ้มครองจะสิ้นสุดลงทันที และผู้เอาประกันจะไม่ได้รับความคุ้มครอง หากสถานะของกรมธรรม์เข้าสู่เงื่อนไขใดเงื่อนไขหนึ่งดังต่อไปนี้

  1. ขาดอายุ (Lapse): หากผู้เอาประกันไม่ได้ชำระเบี้ยประกันที่ค้างชำระ และไม่ได้เลือกใช้สิทธิใด ๆ เพื่อรักษาสถานะกรมธรรม์ไว้ ภายหลังจากที่พ้นระยะผ่อนผัน 31 วัน กรมธรรม์จะเข้าสู่สถานะขาดอายุ และความคุ้มครองจะสิ้นสุดลงทันที
  2. การเวนคืนกรมธรรม์ (Surrender): หากผู้เอาประกันตัดสินใจยกเลิกสัญญา และขอรับเงินค่าเวนคืนกรมธรรม์คืนจากบริษัท ความคุ้มครองทั้งหมดก็จะสิ้นสุดลงอย่างถาวร
  3. ครบกำหนดสัญญา: หากเป็นกรมธรรม์ที่มีกำหนดระยะเวลา เช่น ประกันสะสมทรัพย์ 20 ปี ความคุ้มครองก็จะสิ้นสุดลงเมื่อกรมธรรม์ครบกำหนดอายุสัญญาและบริษัทได้จ่ายเงินผลประโยชน์คืนให้แก่ผู้เอาประกันเรียบร้อยแล้ว

ขาดส่งประกันชีวิต 3 เดือน ประกันขาดไหม?

โดยทั่วไปแล้ว “ประกันขาด” หรือ “ขาดอายุ” (Lapse) ตั้งแต่เมื่อพ้นระยะผ่อนผัน 31 วันแรก ดังนั้น หากขาดส่งเบี้ยประกันไปแล้ว 3 เดือน สถานะกรมธรรม์ของคุณจึงขาดอายุอย่างแน่นอน และไม่มีผลบังคับใช้ เพราะความคุ้มครองได้สิ้นสุดลงทันทีตั้งแต่หลังวันที่ 31 นับจากวันครบกำหนดชำระเบี้ย

อย่างไรก็ตามถึงแม้จะขาดอายุไปแล้ว แต่กรมธรรม์ส่วนใหญ่ยังเปิดโอกาสให้คุณสามารถขอต่ออายุกรมธรรม์ (Reinstatement) กลับมามีผลบังคับใช้ได้ภายในระยะเวลาที่กำหนด (มักจะ 2-5 ปี) ซึ่งการต่ออายุจะต้องชำระเบี้ยประกันที่ค้างชำระทั้งหมด พร้อมดอกเบี้ย และอาจต้องผ่านการตรวจสุขภาพใหม่อีกครั้ง

หากขาดส่งเบี้ยประกัน จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง?

การปล่อยให้กรมธรรม์ขาดส่งเบี้ยประกันและขาดอายุจะส่งผลกระทบที่สำคัญต่อผู้เอาประกัน ดังนี้

  1. ความคุ้มครองจะสิ้นสุดลงทันทีที่พ้นระยะผ่อนผัน (31 วัน) และเข้าสู่สถานะขาดการต่ออายุ ความคุ้มครองทั้งหมดตามกรมธรรม์ก็จะหยุดลงทันที และหากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น บริษัทประกันก็จะไม่จ่ายสินไหมทดแทนใด ๆ ให้แก่ผู้รับประโยชน์แล้ว
  2. มีความยุ่งยากในการขอต่ออายุกรมธรรม์ หากต้องการให้ได้ความคุ้มครองกลับมา ต้องดำเนินการขอต่ออายุกรมธรรม์ภายในระยะเวลาที่กำหนด และจะต้องชำระเบี้ยประกันที่ค้างชำระทั้งหมด พร้อมดอกเบี้ย และอาจต้องตรวจสุขภาพใหม่อีกครั้ง ซึ่งหากสุขภาพไม่ดีเท่าเดิม บริษัทก็อาจปฏิเสธการต่ออายุได้
  3. หากเป็นประกันชีวิตที่มีมูลค่าเงินสด (Cash Value) มูลค่านี้จะถูกนำไปใช้โดยอัตโนมัติ เช่น การกู้ยืมโดยมีกรมธรรม์เป็นประกัน หรืออาจถูกใช้จนหมด ทำให้ผู้เอาประกันไม่ได้รับเงินคืนตามที่ควรจะเป็นเมื่อยกเลิกสัญญาในอนาคต

ความแตกต่างระหว่าง “การขาดอายุ” และ “การเวนคืนกรมธรรม์”

เมื่อผู้เอาประกันประสบปัญหาทางการเงินจนไม่สามารถส่งเบี้ยต่อได้ การยุติสัญญาประกันชีวิตอาจเกิดขึ้นได้ 2 แบบ ซึ่งแต่ละแบบมีผลต่อสิทธิประโยชน์และมูลค่าเงินในกรมธรรม์แตกต่างกันอย่างชัดเจน

การขาดอายุ (Lapse)

การขาดอายุ หมายถึง กรณีที่ผู้เอาประกันไม่ได้ชำระเบี้ยภายใน “ระยะผ่อนผัน” 31 วัน ทำให้กรมธรรม์สิ้นผลบังคับโดยไม่ได้ตั้งใจ ส่งผลให้ความคุ้มครองจะสิ้นสุดลงชั่วคราวในช่วงเวลานี้ และผู้เอาประกันจะไม่สามารถเรียกร้องสินไหมได้ อีกทั้งจะไม่ได้รับเงินคืนในทันที เนื่องจากกรมธรรม์จะกลายเป็นโมฆะชั่วคราว 

อย่างไรก็ตาม ผู้เอาประกันสามารถขอต่ออายุกรมธรรม์ ได้ภายในระยะเวลาที่บริษัทกำหนด (โดยทั่วไปไม่เกิน 5 ปี) โดยต้องชำระเบี้ยประกันที่ค้างพร้อมดอกเบี้ย และในบางกรณีอาจต้องเข้ารับการตรวจสุขภาพใหม่เพื่อให้กรมธรรม์กลับมามีผลบังคับอีกครั้ง

การเวนคืนกรมธรรม์ (Surrender)

การเวนคืนกรมธรรม์ หมายถึง การยกเลิกสัญญาโดยสมัครใจของผู้เอาประกัน เพื่อขอรับมูลค่าเงินสดคืน จากบริษัทประกัน โดยทั่วไปกรมธรรม์จะเริ่มมีมูลค่าเวนคืนหลังจากชำระเบี้ยครบ 2 ปีขึ้นไป เมื่อดำเนินการเวนคืน ความคุ้มครองจะสิ้นสุดลงอย่างถาวรทันที และผู้เอาประกันจะได้รับเงินก้อนตามมูลค่าเวนคืนที่ระบุไว้ในตาราง ซึ่งมักมีจำนวนต่ำกว่ายอดเบี้ยที่จ่ายไปทั้งหมด 

ทั้งนี้การเวนคืนถือเป็นการยกเลิกสัญญาโดยสมบูรณ์ ไม่สามารถต่ออายุหรือเรียกคืนความคุ้มครองได้อีก หากต้องการความคุ้มครองเพิ่มเติมในอนาคต จำเป็นต้องทำกรมธรรม์ฉบับใหม่เท่านั้น

จ่ายเบี้ยประกันไม่ไหว ต้องทำอย่างไร?

หากคุณประสบปัญหาทางการเงินและไม่สามารถชำระเบี้ยประกันได้ ควรติดต่อตัวแทนประกันชีวิตของคุณทันที เพื่อขอคำแนะนำและใช้สิทธิที่สามารถรักษากรมธรรม์ไว้ได้ โดยมีทางเลือกหลัก ๆ ที่สามารถทำได้ก่อนที่กรมธรรม์จะขาดอายุ ดังนี้

1. ใช้สิทธิกู้ยืมเงินโดยมีกรมธรรม์เป็นประกัน (Automatic Premium Loan – APL)

หากกรมธรรม์ของคุณมีมูลค่าเงินสดเพียงพอ บริษัทจะนำมูลค่าเงินสดส่วนนั้นมาสำรองจ่ายเบี้ยประกันแทนคุณโดยอัตโนมัติ ทำให้กรมธรรม์ยังคงมีผลบังคับใช้ แต่เงินก้อนนี้จะถูกคิดเป็นหนี้ที่ต้องชำระคืนพร้อมดอกเบี้ยในภายหลัง

2. เปลี่ยนเป็นการซื้อประกันแบบใช้เงินสำเร็จ (Reduced Paid-up)

การใช้สิทธิเปลี่ยนเป็นกรมธรรม์ที่ชำระเบี้ยเสร็จสิ้นแล้ว โดยไม่ต้องชำระเบี้ยอีกต่อไป กรมธรรม์จะยังคงมีผลบังคับใช้ตลอดอายุสัญญา แต่ทุนประกันจะลดลง ตามมูลค่าเงินสดที่มีอยู่ ณ ขณะนั้น วิธีนี้จึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการรักษาสัญญาประกันแต่ไม่มีกำลังชำระเบี้ยอีกแล้ว

3. เปลี่ยนเป็นการขยายเวลา (Extended Term Insurance)

การเปลี่ยนกรมธรรม์ให้เป็นประกันแบบชั่วระยะเวลาที่มีทุนประกันเท่าเดิม แต่ระยะเวลาความคุ้มครองจะสั้นลง ตามมูลค่าเงินสดที่มีอยู่ วิธีนี้เหมาะกับผู้ที่ต้องการความคุ้มครองชีวิตสูงเท่าเดิมในช่วงระยะเวลาหนึ่งโดยไม่ต้องจ่ายเบี้ยเพิ่ม

4. ปรับลดวงเงินความคุ้มครอง

หากแผนเดิมมีทุนประกันสูงเกินความจำเป็น คุณสามารถขอปรับลดทุนประกันลง เพื่อให้เบี้ยประกันงวดถัดไปลดลงตามไปด้วยได้ ช่วยให้คุณสามารถชำระเบี้ยไหวและรักษาสภาพความคุ้มครองหลักไว้ได้

แนวทางสร้างแผนการเงินที่ดี เพื่อส่งประกันชีวิตได้ต่อเนื่อง?

การทำให้กรมธรรม์ประกันชีวิตของคุณมีผลบังคับใช้อย่างต่อเนื่องในระยะยาว ต้องอาศัยการวางแผนการเงินที่รัดกุม ซึ่งมีแนวทางสำคัญที่คุณควรทำเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการขาดส่งเบี้ย ดังนี้

  1. จัดทำงบประมาณและกำหนดเบี้ยประกันเป็นค่าใช้จ่ายคงที่

คุณควรรวมเบี้ยประกันชีวิตไว้ในหมวดค่าใช้จ่ายคงที่ (Fixed Expenses) ประจำเดือนหรือประจำปี และหักเงินส่วนนี้ไว้ก่อนค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เพื่อให้มั่นใจว่าจะมีเงินสำหรับชำระเบี้ยประกันเสมอ ไม่ว่าจะมีรายได้มากหรือน้อยในเดือนนั้น ๆ

  1. เลือกรูปแบบการชำระเบี้ยให้สอดคล้องกับกระแสเงินสด

หากคุณมีอาชีพที่มีรายได้ไม่สม่ำเสมอ เช่น ฟรีแลนซ์ การเลือกชำระเบี้ยรายปี อาจเหมาะสมกว่าการจ่ายรายเดือน เนื่องจากช่วยลดความถี่ในการติดตามและบริหารจัดการเงินได้ง่ายยิ่งขึ้น แต่หากคุณต้องการลดภาระเงินก้อน ก็ควรเลือกจ่ายรายเดือนหรือรายไตรมาส เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพคล่องแทน

  1. สร้างเงินสำรองฉุกเฉินเฉพาะสำหรับเบี้ยประกัน

คุณควรสำรองเงินในบัญชีแยกต่างหากที่สามารถนำมาใช้จ่ายเบี้ยประกันได้ทันทีในยามที่คุณขาดสภาพคล่องชั่วคราว ซึ่งเงินสำรองนี้ควรมีมูลค่าอย่างน้อยเท่ากับเบี้ยประกัน 1-2 งวด เพื่อให้คุณมีเวลาเพียงพอในการแก้ไขปัญหาสภาพคล่องโดยที่ความคุ้มครองยังคงอยู่

  1. ทบทวนแผนประกันเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงในชีวิต

เมื่อรายได้เพิ่มขึ้นหรือภาระหนี้สินลดลง ควรปรึกษาตัวแทนเพื่อทบทวนแผนประกัน เพื่อพิจารณาลดระยะเวลาการชำระเบี้ย เพื่อให้กรมธรรม์ชำระเสร็จเร็วขึ้น หรืออาจปรับลดทุนประกันลงหากภาระหนี้สินหมดไปแล้ว เพื่อลดภาระเบี้ยประกันในอนาคต

สรุป

การปล่อยให้กรมธรรม์ประกันชีวิตขาดอายุถือเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง เพราะไม่เพียงทำให้ความคุ้มครองสิ้นสุดลงและสูญเสียเงินที่ชำระมาแล้ว แต่ยังอาจก่อให้เกิดความยุ่งยากเมื่อต้องการต่ออายุในภายหลัง ซึ่งอาจต้องตรวจสุขภาพใหม่และชำระดอกเบี้ยเพิ่มเติม ดังนั้นการทำความเข้าใจ “ระยะผ่อนผัน 31 วัน” และการใช้สิทธิ์ในกรมธรรม์อย่างชาญฉลาด จึงเป็นหัวใจสำคัญในการรักษากรมธรรม์ให้คงผลบังคับอย่างต่อเนื่อง เพื่อคงไว้ซึ่งความมั่นคงที่คุณตั้งใจที่จะสร้างให้กับตนเองและครอบครัว

หากคุณต้องการคำแนะนำในการวางแผนกรมธรรม์ให้เหมาะกับสภาพคล่อง พร้อมการดูแลอย่างต่อเนื่อง เพื่อปรับแผนประกันให้สอดคล้องกับสภาพคล่องทางการเงินในปัจจุบันของคุณอยู่เสมอ สามารถติดต่อรับคำปรึกษาเพิ่มเติมจาก “นุ่น” ตัวแทนประกันชีวิต AIA ได้เลย! โทร. 065-954-1646